วันอังคารที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ทำความรู้จัก iPhone X (Edition) ไอโฟนรุ่นพิเศษ ฉลองครบรอบ 10 ปี

iPhone X (Edition) ถือเป็นอีกรุ่นที่หลายคนกำลังเฝ้าจับตามองอยู่ในตอนนี้ นอกจากการมาของ iPhone รุ่นใหม่อย่าง iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ที่มีกำหนดการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในคืนพรุ่งนี้ 

หากมันมีจริงๆ  (Edition) ก็คือรุ่นฉลองครบรอบ 10 ปีของการเกิด iPhone บนโลกใบนี้ครับ และแน่ๆ ว่ามันคงเป็นพี่ใหญ่สุดของงาน เพราะตามกระแสข่าวลือคือ iPhone X จะมาพร้อมกับขนาดหน้าจอ OLED 5.8 นิ้ว แต่จะไม่มีระบบสแกนลายนิ้วมือด้านหน้าอีกต่อไป แต่ใช้ระบบสแกนใบหน้าแทน และการแสดงผลจะขึ้นไปบนสุดของหน้าจอด้วยกัน ส่วนการเรียก Siri เขาจะใช้ปุ่ม Power แทน

 untitled-20

นอกจากนี้ในเรื่องของสเปคนั้นคาดว่าจะใช้ CPU Apple A11 คาดว่าอาจจะให้ RAM 3GB เท่านั้น ในเรื่องของกล้องนั้นคาดว่าจะมีความคล้ายกับรุ่นเดิม คาดว่าเพิ่มเรื่องของระบบ 3D เข้ามาอีกด้วย 

 

แต่อย่างไรก็ดียังไม่มีการออกมายืนยันอย่างเป็นทางการจากฝ่ายไหนชัดว่าในวันที่ 12 กันยายน 2017 นี้เราจะได้เห็น ไอโฟนรุ่นใหม่ทั้งหมดกี่รุ่นกันแน่ๆ มันจะมาครบทั้ง iPhone 8, iPhone 8 Plus และ iPhone X หรือไม่? ส่วนเรื่องราคาของไอโฟรรุ่นใหม่คาดว่า  (หรือ iPhone X, iPhone Edition) อาจมีราคาสูงถึง 999 เหรียญ หรือประมาณ 33,100 บาท (64 GB), 1,099 เหรียญ หรือประมาณ 36,400 บาท (256 GB) และ 1,199 เหรียญ หรือประมาณ 39,700 บาท (512 GB) อ่านสื่อนอกวิเคราะห์ได้ที่ (สื่อนอกชี้ iPhone ใหม่ทั้ง 3 รุ่น จะเริ่มเปิดให้จอง 15 กันยายน 2017 นี้)

เอาเป็นว่าเรามารออัปเดทไปพร้อมๆ กันในค่ำคืนพรุ่งนี้กันดีกว่าครับ 

ดูรูปไอโฟน 8 เพิ่มเติมได้ที่ http://hitech.sanook.com/1433925/

7 พฤติกรรมทำร้าย “ไต” ทั้งที่ไม่ได้กินเค็ม!

7 พฤติกรรมทำร้าย “ไต” ทั้งที่ไม่ได้กินเค็ม!

หากพูดถึงโรคไต หลายคนคงคิดออกตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยินว่า “เพราะทานเค็มมากเกินไป” แต่ Sanook! Health จะมาบอกว่า ไม่ใช่อาหารรสเค็มเท่านั้นที่เป็นสาเหตุของโรคไต คุณอาจยังไม่ทราบ และเผลอทำร้ายไตของตัวเองไปโดยไม่รู้ตัว!

โรคไต เป็นชื่อที่เรียกรวมอาการ และ/หรือความผิดปกติที่เรียกว่า พยาธิสภาพ ที่เกิดขึ้นบริเวณไตที่ทำให้การทำงานเพื่อขับของเสียออกจากร่างกายและการรักษาความสมดุลของเกลือ รวมถึงน้ำในร่างกายมนุษย์เกิดภาวะขัดข้อง ซึ่งโรคที่เกิดขึ้นกับไตมีอยู่ด้วยกันหลายประเภท ได้แก่

โรคไตวายฉับพลัน
โรคไตวายเรื้อรัง ที่เกิดขึ้นตามหลังจากการเกิดโรคเบาหวาน หรือโรคความดันโลหิตสูง
โรคไตอักเสบเนโฟรติก
โรคไตอักเสบจากภาวะภูมิคุ้มกันสับสน
โรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
โรคถุงน้ำที่ไต
สาเหตุของการเกิดโรคไต

ผู้ป่วยเป็นมาตั้งแต่กำเนิด อาทิ มีไตข้างเดียว หรือไตนั้นมีขนาดไม่เท่ากัน หรืออาจเป็นโรคไตเป็นถุงน้ำ โดยโรคเหล่านี้สามารถสืบต่อกันได้ทางกรรมพันธุ์ด้วย
เกิดจากการอักเสบ อาทิ โรคของกลุ่มเลือดฝอยในไตอักเสบ
เกิดจากการติดเชื้อ ซึ่งเกิดการติดเชื้อจากแบคทีเรียเป็นส่วนใหญ่ อาทิ กรวยไตอักเสบ ไตเป็นหนอง หรือกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
เกิดจากการอุดตัน อาทิ จากนิ่ว ต่อมลูกหมากโต หรือมะเร็งมดลูกไปกดท่อไต
เกิดเนื้องอกขึ้นที่ไต ซึ่งมีอยู่หลายชนิด

นอกจากนั้นแล้ว พฤติกรรมการใช้ชีวิตก็เป็นสิ่งสำคัญที่อาจทำให้เกิดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคไตได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการอาหารการกิน การใช้ชีวิต การทำงาน หรือแม้แต่การต้องทนอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยแรงกดดัน ฉะนั้น ลองมาดูกันดีกว่าว่า 7 พฤติกรรมแบบไหนที่อาจทำร้าย “ไต” ของเราได้

1. ทานอาหารรสจัด

ไม่ใช่แค่รสเค็มจัด แต่อาหารรสจัดรวมไปถึง อาหารหวานจัด เผ็ดจัด หรือแม้กระทั่งมันจัด อาหารรสจัดทำให้ไตทำงานหนักขึ้น จึงมีส่วนทำให้เป็นโรคไตได้เช่นเดียวกันกับอาหารรสเค็ม

2. ไม่ออกกำลังกาย

การไม่ออกกำลังกายเป็นสาเหตุของหลายๆ โรค ไม่ว่าจะเป็นโรคอ้วน ไขมันอุดตันเส้นเลือด ไขมันพอกตับ เส้นเลือดอุดตัน โรคหัวใจ และอื่นๆ รวมไปถึงโรคไตด้วยเช่นกัน

3. ดื่มน้ำน้อย หรือมากเกินไป

การดื่มน้ำน้อยเป็นสาเหตุของหลายๆ โรคเช่นกัน (อ่าน 6 โรคร้ายถามหา ถ้า “ดื่มน้ำน้อย”) รวมไปถึงโรคไตด้วย เพราะไตฟอกของเสียในร่างกาย และต้องใช้น้ำเป็นตัวพาไปสู่การกรองของไตจนกลายครอบครองปัสสาวะ หากดื่มน้ำมากเกินไป ไตก็จะทำงานหนักเกินไป แต่หากดื่มน้ำน้อยมากเกินไป (ซึ่งมีโอกาสมากกว่า) ก็จะทำให้ปัสสาวะมีสีเข้ม ซึ่งไม่ดีต่อไต และกระเพาะปัสสาวะด้วย

4. ทำงานหนักเกินไป

เชื่อหรือไม่ว่าการทำงานหนักก็เป็นสาเหตุของโรคไตด้วยซ้ำเช่นกัน เพราะเมื่อร่างกายขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ อวัยวะภายในร่างกายก็จะไม่ได้รับการฟื้นฟู และซ่อมแซมตัวเองอย่างเต็มที่ด้วยเช่นเดียวกัน เมื่ออวัยวะที่คอยฟอกของเสียในร่างกายอย่างไตไม่ได้หยุดทำงาน ก็อาจทำให้ไตเสื่อมสภาพลงได้ง่าย

5. ความเครียด

เรื่องเครียดมักมาพร้อมมูลกับการทำงานหนัก ถ้าเครียดมากๆ ร่างกายก็จะพักผ่อนได้ไม่เต็มที่เช่นเดียวกัน นอกจากนี้เมื่อเราเครียด เราจะหายใจเอาออกซิเจนเข้าร่างกาย เพื่อไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ได้ไม่เต็มที่ และไตก็เป็นอวัยวะที่ได้รับผลกระทบจากความเครียดด้วยเช่นกัน

6. ทานอาหารสำเร็จรูป

แม้ว่าคุณกล้าหาญจะบอกว่าไม่ใช่ผู้มีชีวิตทานเค็ม แต่หากคุณใช้คืนชีวิตวนเวียนอยู่กับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ข้าวกล่องในร้านสะดวกซื้อ อาหารกระป๋องต่างๆ หรือแม้กระทั่งน้ำอัดลม โซดา และเครื่องดื่มบางประเภท คุณจะได้รับโซเดียมเข้าไปในร่างกายในปริมาณสูงโดยที่คุณไม่รู้ตัว ดังตรงนั้นทานให้จ้อยลงหน่อยนะ

7. ความดันโลหิตสูง

สมมตใครกอบด้วยอาการความดันโลหิตสูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งมีโอกาสที่จะสดโรคไตตามมาสู่ด้วย เพราะหากปล่อยให้เป็นความดันสูงต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่รีบรักษา ความดันโลหิตสูงนี้จะทำลายเส้นเลือดที่ไต ทำให้ไตถูกทำลาย หรืออาจเรียกว่าเป็น “ไตวายชั่วคราว”

รู้อย่างนี้แล้ว ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมดังกล่าว ก่อนที่จะเป็นโรตไตแล้วต้องดำเนินฟอกไตทุกวันนะคะ ขอบอกเลยว่าไม่สนุกแน่ๆ

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://health.sanook.com/4761/

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : กรดไหลย้อน

คอหวยออกหาเลขเด็ด สำรวจเลขมงคลเกลี้ยงแผงแทบไม่เหลือ

คอหวยออกหาเลขเด็ด สำรวจเลขมงคลเกลี้ยงแผงแทบไม่เหลือ

สำรวจแผงลอตเตอรี่เมืองโคราช ผู้คนออกยังตระเวนตามหาซื้อเลขมงคลเกี่ยวกับในหลวง รัชกาล เจ้าของแผงบอกขายเกลี้ยงวันแรกๆ

ผู้สื่อข่าวจังหวัดนครราชสีมารายงานว่า บรรยากาศบริเวณถนนจอมพล ต.ในเมือง อ.เมืองนครราชสีมา ถนนที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งซื้อขายลอตเตอรี่แห่งใหญ่สิ่งของเมืองโคราช มีเหล่าบรรดาพ่อค้าแม่ค้าขายลอตเตอรี่ นำลอตเตอรี่มาเข้าประจำที่จำหน่ายตามปกติ

จากการสำรวจพบว่ายังมีลูกค้าเดินทางมาหาซื้อสลากฯ ยังไม่คึกคักนัก ไม่เหมือนพร้อมกับช่วงใกล้วันออกผล แต่สิ่งที่เจ้าของเกือบทุกแผงยืนยันและพูดเป็นเสียงเดียวกันคือ ช่วงนี้คอหวยทุกคนมักมาหาซื้อเลขที่เกี่ยวข้องกับในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งมีการคว้านซื้อไปกันจนเกลี้ยงแผง ตั้งแต่นำมาจำหน่ายในวันแรกๆ แล้ว

จากการสอบถาม นายจักรพงศ์ โชติณภาลัย หนึ่งในเจ้าของแผงขายลอตเตอรี่ ตรัสว่า ตั้งแต่นำสลากงวดประจำวันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 มาวางขายในวันแรกๆ เลขมงคลที่เกี่ยวกับในหลวง รัชกาลที่ 9 ขายดีมาก คนแห่มาถามหาซื้อกันจำนวนมาก

เลขที่มีกรณีต้องการ ได้แก่ 70 07 89 98 รวมรวมหมดเลข 13 ทุกวันนี้ก็ยังลูกค้าเดินเข้าไปมาในร้านก็จะถามหาเลขดังกล่าวก่อนแทบจักทุกคน ซึ่งทุกแผงหมายถึงแบบนี้เหมือนกันหมด หลายมนุษย์ไม่ได้เลขมงคลตามที่ตั้งใจไว้ ก็เลือกที่จะซื้อเลขใกล้เคียงไปแทน ทำให้เลขอื่นๆ ที่เป็นตัวเลขใกล้เคียงกัน เช่น 88 99 97 79 71 17 ขายดีติดตามไปด้วย

ติดตามข่าวหวยได้ที่ http://news.sanook.com/2089102/

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล

สวยเกิด! แฟชั่นหน้าหนาวๆ ของ 10 ซุปตาร์สาว

ก้าวเข้าสู่ปลายฝนต้นหนาวแล้วสินะ! สำหรับอากาศบ้านเราที่เมื่อไรความเย็นเริ่มมา สาวๆ คงนึกสนุกรีบเตรียมค้นตู้เสื้อผ้าหาเสื้อแจ็คเก็ต เสื้อโค้ท หรือถุงเท้าลายเก๋มาแมทช์กันอย่างสนุกสนาน

และในเมื่อความหนาวกำลังจะเข้ามาเยือนอย่างนี้ Sanook! Women จึงขอนำ แฟชั่นเสื้อผ้าเที่ยวต่างประเทศของเหล่าดาราซุปตาร์ เพราะ ช่วงสิ้นปีแบบนี้ หลายคนคงจะมีแพลนรับลมหนาวกันรอบโลก แต่จะให้ใส่เสื้อโค้ทธรรมดาๆ ตัวเดียวก็คงจะไม่สวยเด่นโชว์ความงามของสาวไทยได้ ลองหาแอสเซสเซอรี่อย่าง ถุงเท้า ถุงมือหรือเฟอร์ขนนุ่มๆ มาพันคอสักอันก็ช่วยเพิ่มความอลังพร้อมกันลมหนาวต่างประเทศได้แล้วค่ะ

สำหรับสาวๆ ที่ยังไม่มีไอเดียในการเลือกชุด ลองมาดูสไตล์การแต่งตัวเริ่ดๆ ของดาราซุปตาร์กันดีกว่า ไม่แน่ตอนคุณเดินเฉิดฉายอยู่ต่างประเทศ คุณอาจจะสวยแย่งซีนสาวๆ แถวนั้นก็ได้นะคะ

เริ่มต้นกันที่คู่ไอดอล ออม สุชาร์ และ ทับทิม มัลลิกา ที่เพิ่งบินกลับไทยหลังจากไปเที่ยวประเทศเกาหลี สดๆ ร้อนๆ แฟชั่นการแต่งตัวของสองสาวก็ดูไม่เวอร์ อย่างสาวออม ที่ทริปนี้เธอมาเป็นเด็กแนว แค่เสื้อสเวตเตอร์กับกางเกงยีนส์ทรงบอลลูน สวมรองเท้าผ้าใบสีขาวทรงสปอร์ตเข้าได้กับทุกชุด


ด้านสาว ทับทิม เธอฉีคลุคพิธีกรสาวซ่าจาก VRZO มาเป็นสาวแว่นเนิร์ดๆ ดูไปแล้วเธอละม้ายคล้ายสาวเกาหลีมากๆ ด้วยแฟชั่นเอี๊ยมกับเสื้อแขนยาว ดูสบายๆ ตามสภาพอากาศประมาณ 10 กว่าองศาของประเทศเกาหลี แต่ละชุดของเธอสามารถใส่เดินในหน้าหนาวเมืองไทยได้อย่างสบายๆ เลยค่ะ

กลับไปเยือนประเทศเกาหลีอีกครั้ง นับว่า เบลล่า ราณี สร้างความสะพรึ่งให้กับสาวๆ หลายคนกับชุดที่เธอใส่พูดเลยว่าสวยสะกดทุกสายตา ยังกับลุค ชมพู อารยา ในทรายสีเพลิง เสื้อสูทสีเหลืองกับกางเกงขายาวทรงสวย ช่วยเสริมลุคให้เธอดูโต ถือว่าเป็นชุดชมพระราชวังที่เริ่ดมาก ปรบมือรัว!! 

 

นักร้องลูกทุ่งสาว หลิว อาจารียา บินไกลไปถึงประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แน่นอนว่าการแต่งตัวของเธอช่างดูน่ารัก เพียงแค่มีเสื้อสเวตเตอร์กับกางเกงยีนส์ขาสั้นพร้อมเลคกิ้งสีดำก็ช่วยให้คุณดูสวยอินเตอร์ในสไตล์ลูกทุ่งสาว หลิว อาจารียา ได้แล้วค่ะ

 


สวยสดใสสไตล์สาวหน้าเด็ก โฟร์ ศกลรัตน์ ความน่ารักของเธอช่วยให้ดูเหมือนสาววัยใส และถ้าได้เห็นแฟชั่นต่างประเทศของเธอแล้วต้องบอกเลยว่า สาวโฟร์เป็นแฟชั่นนิสต้าเหมือนกันนะเนี่ย! แต่ละวันเธอแต่งตัวได้ไม่ซ้ำกัน มีทั้งหรูหราด้วยเสื้อโค้ทสีสัน หรือจะซุกซนแบบเด็กน้อยด้วยแจ็คเก็ตและกางเกงยีนส์ มีลูกเล่นที่แว่นตาทรงเก๋ ช่วยลดอายุได้เยอะเลยค่ะ

 

ไม่พูดถึงคนนี้คงไม่ได้ซุปตาร์ค้างฟ้า อั้ม พัชราภา กับสไตล์การแต่งตัวสไตล์สาวอั้ม ดูดีมีระดับทั้งในไทยและต่างประเทศ ส่วนมากที่เห็น เธอมักจะชอบใส่โทนสีเข้ม สีดำ สีน้ำตาล มากกว่าสีสดๆ นะคะ

สั้นเสมอหูได้ทั่วโลกจริงๆ สำหรับนักร้องสาวขาสวย ใบเตย อาร์สยาม ครั้งที่เธอไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นเธอแมทช์เสื้อขนเฟอร์แน่นๆ สีเขียวสะท้อนแสงกับเสื้อเอวรอยคอเต่า และกางเกงสีดำสั้นเสมอหูตามคอนเซ็ปต์ 

เซ็กซี่ป่นเท่ต้องยกให้เธอคนนี้ กิ๊บซี่ วนิดา เพียงแค่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นยีนส์ เธอก็เดินสวยได้ทั่วโลก สงสัยว่าอากาศตอนที่เธอไปคงจะไม่หนาวมาก เธอถึงได้แต่งชิวได้ขนาดนี้

มิน พีชญา ในสไตล์แม่เสือสาวยุคใหม่ในประเทศญี่ปุ่น เสื้อโค้ทลายเสื้อกับรองเท้าผ้าใบสีฟ้า ที่แมทช์สีหมวกได้เป็นอย่างดี ถ้าสาวๆ คนไหนทีคิดว่าลายเสือต้องคู่กับสาวเปรี้ยวเท่านั้นขอบอกว่าคิดผิดแล้วนะคะ เพราะลุคนี้ของ สาวมิน ทำให้เราเห็นความน่ารักของแฟชั่นเสือน้อยได้เลยค่ะ


ร่วมทริปกับสาวมินเป็นคู่ซี้อีกคู่ของวงการเลยทีเดียว สำหรับ ปุ๊กลุ๊ก ฝนทิพย์ นางเอกสาวสุดไฮโซที่มากับสไตล์หรูหรา แต่ละชุดที่เธอเลือกใส่นั้นดูเข้ากับบุคลิกสาวมั่นของเธอได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว

ปิดท้ายด้วยตัวแม่ด้านแฟชั่น ชมพู่ อารยา กับประโยคฮิตของเธอ "ฟ้าจะบิน" ถือได้ว่าเป็นดาราสาวที่เดินทางไปต่างประเทศบ่อยมากๆ การแต่งตังของเธอแต่ละครั้งทั้งแต่ชุดเดินทาง ชุดออกงานรวมไปถึงชุดนอน เป็นที่จับตามองแทบทุกชุด แต่ละชุดเลอค่าไม่เสียชื่อซุปตาร์ประเทศไทย สาวๆ คนไหนที่อยากสวยอลังแบบจัดเต็มลองดู แฟชั่นของสาวชม รับรองเกิด เจิดแน่นอนค่ะ 

 อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.sanook.com/women/29541/

 

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ข่าวด่วน

รวมทุกภาพหลุดของ iPhone 8 หรือ iPhone Edition ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการคืนพรุ่งนี้

รวมทุกภาพหลุดของ iPhone 8 หรือ iPhone Edition ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการคืนพรุ่งนี้

รวมทุกภาพหลุดของ iPhone 8 หรือ iPhone Edition ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการคืนพรุ่งนี้

S! Hitech (Rewrite)

สนับสนุนเนื้อหา

ใกล้วันเปิดตัวเข้ามาเรื่อยๆ แล้วครับสำหรับการมาของ iPhone รุ่นใหม่ ซึ่งไม่ระบุแน่ชัดว่ามันจะถูกเรียกว่าอะไร เพราะดูเหมือนจะมีหลายรุ่นหลายขนาดให้เราได้เห็นกัน(ตามกระแสข่าวลือ) อย่างเช่น iPhone 8หรืออีกชื่อคือ iPhone Edition และมันอาจจะมีพี่น้องมาด้วยนั้นคือ iPhone 7s และ iPhone 7s Plus ขนาดที่ประเทศไต้หวันถึงกับหลุดภาพโปสเตอร์พร้อมราคาแล้วด้วย

untitled-6

สำหรับราคาที่หลุดออกมาจากภาพโปสเตอร์ (อ้างอิง เผยโปสเตอร์ iPhone 8 ในไต้หวันพร้อมราคาครบทุกรุ่น

ราคา iPhone ทั้งสามรุ่น เริ่มด้วย iPhone 7s

32GB ราคา 5,388 หยวน หรือประมาณ 27,400 บาท 128GB ราคา 6,188 หยวน หรือประมาณ 31,500 บาท 256GB ราคา 6,988 หยวน หรือประมาณ 35,600 บาท

iPhone 7s Plus

32GB ราคา 6,388 หยวน หรือประมาณ 32,500 บาท 128GB ราคา 7,188 หยวน หรือประมาณ 36,500 บาท 256GB ราคา 7,988 หยวน หรือประมาณ 40,700 บาท

 หรือ iPhone Edition

128GB ราคา 8,188 หยวน หรือประมาณ 41,700 บาท 256GB ราคา 8,988 หยวน หรือประมาณ 45,700 บาท

แม้ราคาดังกล่าวจะมีการพูดถึงอยู่ในตอนนี้ แต่เรายังไม่มีข้อมูลอ้างอิงอะไรแน่ชัดว่ามันคือของจริง ไม่ใช่ข่าวลือก็ตาม แต่ตามราคาที่ออกมาให้เราเห็นก็ทำให้เราพอประเมินได้ว่า ราคาของ iPhone รุ่นใหม่อาจจะมีการปรับราคาสูงขึ้นอยางแน่นนอน

เอาเป็นว่าตอนนี้เรามาดูภาพของ iPhone 8 หรือ iPhone Edition จากเจ้าพ่อข่าวหลุดคุณ Benjamin Geskin‏ เรียกน้ำย่อยกันไปพลางก่อนๆ ก่อนครับ

อ่านเพิ่มเติมที่ http://hitech.sanook.com/1433457/

สูตรขัดผิวขาวมะขามเปียกพื้นบ้านเปลี่ยนผิวคล้ำให้ขาวกระจ่างใส

สูตรขัดผิวขาวมะขามเปียกพื้นบ้านเปลี่ยนผิวคล้ำให้ขาวกระจ่างใส

สูตรขัดผิวขาวมะขามเปียกพื้นบ้านเปลี่ยนผิวคล้ำให้ขาวกระจ่างใส

ผู้หญิงทุก มานพไม่ว่าใครก็ล้วนอยากมีผิวขาว อย่างเดียวหากคุณเกิดมาพร้อมกับผิวสองสี ผิวแทนหรือผิวสีน้ำผึ้งตลอดจนผิวหมองคล้ำอันเนื่องมาจากการตากแดดเป็นเวลา เนิ่นนาน ความหมองคล้ำจากแดดก็ย่อมบดบังความกระจ่างใสสรรพสิ่งผิวจนเหลือแต่เพียงความหมอง คล้ำดำกร้านได้เช่นเดียวกัน วันนี้เรามีสูตรความงามที่จะช่วยเปลี่ยนสีผิวของคุณส่งมอบกลับมาขาวกระจ่างใสแบบธรรมชาติได้ค่ะ แม้พร้อมแล้ว.. เรามาดูกันเลยว่ามีสูตรไหนทำอย่างไรน้อย

สูตรขัดผิวขาว

สูตรขัดผิวมะขามเปียกพื้นบ้านเปลี่ยนผิวคล้ำให้ขาวกระจ่างใส
สูตรขัดผิวมะขามเปียกพื้นบ้านเปลี่ยนผิวคล้ำให้ขาวกระจ่างใส

สูตรขัดผิวด้วยมะขามเปียก มะนาว ขมิ้น โยเกิร์ตและน้ำผึ้ง
ด้วย ส่วนผสมไปมะขามเปียกและมะนาวพื้นดินนำมาผสมผสานกัน ยิ่งเป็นการเพิ่มสองคุณค่าจากกรดผลไม้ในที่จะช่วยเร่งความกระจ่างใสให้สีผิว เพราะสองผลไม้ดังกล่าวมีฤทธิ์มีชีวิตกรดมันจะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่อยู่ตายแล้ว ให้หลุดออกอย่างอ่อนโยน ในขณะที่โยเกิร์ต น้ำผึ้งจะช่วยคืนความเนียนนุ่มชุ่มชื้นให้ผิวและขมิ้นก็จะช่วยจัดการ แบคทีเรียบนผิวหนังให้หมดไป อีกทั้งยังมีคุณสมบัติเคลือบผิวทำให้สีผิวผุดผ่องเป็นยองใยมากขึ้น เจี๊ยวจ๊าวนั้น สูตรนี้แล้วจึงมั่นใจได้ว่าจะช่วยเปลี่ยนผิวหมองคล้ำของคุณให้ค่อยๆ ขาวกระจ่างใสตามธรรมชาติได้อย่างแน่นอน

สูตรขัดผิวมะขามเปียกพื้นบ้านเปลี่ยนผิวคล้ำให้ขาวกระจ่างใส
สูตรขัดผิวมะขามเปียกพื้นบ้านเปลี่ยนผิวคล้ำให้ขาวกระจ่างใส
 

วิธีใช้ นำทาง ส่วนผสมทั้งหมดมาริผสมรวมกัน อาจจะแยกเอามะขามเปียกไว้ต่างหากก็ได้นะคะ เพราะว่านำมะขามเปียกมาชุบกับส่วนผสมทั้งหมดแล้วขัดผิวแทนใยบวบนั่นเอง ขัดผิวให้ทั่วเรือนร่างโดยขัดวนดำรงฐานะวงกลมไปมา จากนั้นปล่อยทิ้งไว้ 15-20 นาทีค่ะ แล้วล้างออกให้สะอาด ทำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ที่สำคัญหลังจากขัดผิวเสร็จแล้วอย่าลืมรีบชโลมผิวด้วยโลชั่นที่มีส่วนผสมจาก ไวท์เทนนิ่งทันที และทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน ไม่ว่าคุณจะอยู่ภายในบ้านก็ตามก็ต้องทาครีมกันแดดค่ะ เนื่องจากแสงจากหลอดไฟก็แผ่รังสีที่จะทำลายผิวให้หมองคล้ำรวดเร็วได้มา

สูตรขัดผิวมะขามเปียกพื้นบ้านเปลี่ยนผิวคล้ำให้ขาวกระจ่างใส
สูตรขัดผิวมะขามเปียกพื้นบ้านเปลี่ยนผิวคล้ำให้ขาวกระจ่างใส

สูตรดังกล่าวสาวๆ สามารถนำมาพอกหน้าได้มาเช่นเดียวกันนะคะ ถึงกระนั้นอาจจะเลือกยังไม่ตายมะนาวหรือมะขามเปียกอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้กรดจากผลไม้มีมากเกินเที่ยวไปจนทำลายผิวมอบแสบระคายเคืองค่ะ และอาจจะลดขมิ้นให้น้อยลงด้วย ไม่เช่นนั้น อาจทำให้ผิวหน้าสาวๆ เหลืองอย่างที่ไม่น่าจะจะเป็นคว้า

สูตรขัดผิวมะขามเปียกพื้นบ้านเปลี่ยนผิวคล้ำให้ขาวกระจ่างใส
สูตรขัดผิวมะขามเปียกพื้นบ้านเปลี่ยนผิวคล้ำให้ขาวกระจ่างใส

สูตรขัดผิวจากมะขามเปียกและ วัตถุดิบอื่นๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติช่วยผลัดผิวและเผยเซลล์ผิวใหม่ที่กระจ่าง

ใส เปล่งปลั่ง ทำให้ผิวขาวอย่างเป็นธรรมชาติได้อย่างต่อเนื่อง เมื่อสาวๆ ทำเป็นประจำสม่ำเสมอ ควบคู่กับการกินผักผลไม้ที่ให้วิตามินแร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระอย่าง เพียงพอ ดื่มน้ำสะอาดวันละ 8-10 แก้ว นอนพักผ่อนตั้งแต่หัวค่ำกับหลับให้สนิทตลอดคืน มีหรือคะที่ผิวหมองคล้ำจะไม่โบกมือลาหายไป

สำหรับสาวที่ประกอบด้วยผิวแทน ผิวสองสีหรือไม่ก็ผิวสีน้ำผึ้ง คุณก็จะพบกับผลลัพธ์ของสีผิวที่จะค่อยๆ ขาวกระจ่างใสได้เช่นเดียวกัน ไม่เชื่อ.. คงต้องลองทำตามกันแล้วค่ะ แล้วคุณจะทึ่งไปกับคุณสมบัติของสูตรภูมิปัญญาพื้นบ้านไทยเราสุดๆ เลยล่ะ

ลายละเอียดเพิ่มเติมที่ http://women.sanook.com/blog/22855/

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : เคล็ดลับความงาม

สัมผัสแรกของ Nokia 8 มือถืออีกรุ่นที่สามารถทำให้เงินในกระเป๋าสั่นไปหมด

ก่อนหน้านี้คงทราบกันดีกว่า  โทรศัพท์เคลื่อนที่เรือธงที่มีการนำผู้สนับสนุนเก่าแล้วก็เทคโนโลยี เน้นการถ่ายรูปที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนได้เปิดตัวบนโลกเมื่อวันที่ 16 ส.ค. แต่ว่าเมื่อวันที่ 28 เดือนสิงหาคม โนเกียก็เปิดตัว Nokia 8 อย่างเป็นทางการ แล้วมันจะดีงามแค่ไหน วันนี้ก็เลยจะมาพรีวิวกันใหม่ๆตรงนี้มุมที่คุณใคร่รู้ก่อนพบกับรีวิวเต็มเร็วๆนี้

และแน่นอนว่าทางทีมงาน Sanook! Hitech ก็ไม่พลาดที่จะเกาะติดกับทีมงาน HMD เพื่อการนำเครื่องมาพรีวิวให้เพื่อนๆ อ่านกันครับ มาดูกันครับว่าเบื้องต้น Nokia 8 จะมีอะไรดีบ้าง

ข้อมูลทางเทคนิคของ Nokia 8

  • ข้อมูลเครือข่าย (Network)
  • GSM850/900/1800/1900
  • WCDMA1, 2, 5, 8
  • TDS-CDMA34, 39
  • LTE1, 2, 3, 4, 5, 7, 8, 20, 28, 38, 39, 40, 41
  • ความเร็วเครือข่าย
  • LTE Cat 9, 3CA, 450Mbps DL 50Mbps UL
  • รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิม
  • ระบบปฏิบัติการ
  • Android Nougat 7.1.1
  • หน่วยประมวลผลและชิปเซ็ต: Qualcomm® Snapdragon ™ 835
  • MSM8998 (2.45GHz Qualcmm® Kryo ™  1.8GHz Kryo)
  • RAM 4GB LPPDDR4X
  • หน่วยความจำภายใน 64 GB พร้อมช่องเสียบการ์ด MicroSD (รองรับสูงสุด 256 GB)
  • ฟอร์มแฟคเตอร์ สแต็คพอยต์ IP54 touch monoblock พร้อมปุ่มระบบสัมผัส capacitive
  • จอแสดงผล: 5."IPS LCD QHD 2560 x 1440, ความสว่างหน้าจอ 700nts, Corning®Gorilla® Glass 5, 2.5D Glass
  • เลนส์กล้องจาก ZEISS
  • กล้องหลัก: 13 ล้านพิเซล ขนาดรูรับแสง f 2.0แฟลชคู่
  • กล้องด้านหน้า: 13 ล้านพิเซล ขนาดรูรับแสง f 2.0, พร้อมแฟลช
  • ระบบเชื่อมต่อ
  • ระบบเซ็นเซอร์: ประเภท C, USB3.1 Gen 1 (5Gbps)
  • ช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม.
  • เซ็นเซอร์วัดแสงรอบข้าง
  • เครื่องวัดความใกล้เคียงเครื่องวัดความเร็วในการวัดเข็มทิศ E, เข็มหมุนFingerprint Sensor
  • แบตเตอรี่
  • ประกอบด้วยแบตเตอรี่ 3090 mAh พร้อมQualcomm® Quick Charge ™ 3.(18 วัตต์, 5V 2.5A, 9V 2A, 12V 1.5A)
  • ฟังก์ชั่นมัลติมีเดีย
  • รองรับไฟล์เสียงแบบ MP3, M4A, AAC, OGG, WAV, AMR, AWB (AMR-WB), FLAC, MIDI (MID, MIDI, XMF, MXMF, IMY, RTTTL, RTX, OTA)
  • รองรับไฟล์วิดีโอแบบ MP4, 3GP, 3G2, AVI, MKV, WEBM
  • ขนาด:
  • 151.5 x 73.7 x 7.9 มม. (camera bump ขนาด 0.4 มม.)
  • น้ำหนักเบา เพียง160 กรัม

รูปร่างของ Nokia 8

 

เป็นมือถือที่มองด้านหน้าแล้ว มีความคล้ายกับ Nokia 5 และ Nokia 6 ที่เปิดตัวก่อนหน้านี้ เพียงแต่ขนาดหน้าจอของมัน แทรกกลางระหว่าง 2 รุ่นคือ 5.3 นิ้ว ความละเอียด Quad HD (2560x1440) โดยเหตุผลที่เลือกใช้หน้าจอขนาดนี้เพราะ เขาบอกว่าคนใช้งานจะจับถนัดและกดทุกอย่างได้ลงตัวที่สุด เมื่อลองใช้งานแล้วพบว่า มีความจริงอยู่ 85% เลยทีเดียว

ส่วนบนมีกล้องหน้าขนาด 13 ล้านพิกเซล พร้อมกับเลนส์จาก Zeiss ซึ่งเป็นพันธมิตรเก่าแก่ของ Nokia

ด้านล่างมีปุ่ม Back, Home พร้อมกับระบบสแกนลายนิ้วมือ และมีปุ่ม Recent Apps สามารถสลับ Apps ที่เปิดก่อนหน้าได้เช่นกัน แต่ว่า หน้าจอเล็กไปทำให้เมื่อต้องกดกด Multi Tasking อาจจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่

ด้านข้าง (รวมถึงด้านหลัง) เลือกใช้วัสดุอะลูมิเนียมเกรด 7,000 ที่เรียกได้ว่าหนาแน่นและออกแบบดี เทคโนโลยีการพ่นสีนั้นมีการชุบเคลือบสานทั้งแบบผิวด้าน และมันวาว ให้เลือก ฝั่งซ้ายมีช่องซิม ฝั่งขวามีปุ่มกดม ปุ่มปรับระดับเสียง

ด้านบนมีช่องเสียบหูฟัง ด้านล่างมีช่องเสียบ USB-C พร้อมกับลำโพง และมีไมโครโฟนให้

ด้านหลัง ออกแบบได้เหมือนกับ Nokia 5 ไม่มีผิด แต่ผิวสัมผัสแตกต่างชัดเจน พร้อมกับมีกล้องหลังคู่ เลนส์ Zeiss พร้อมกับ LED Flash และมี Laser Focus ให้เลือกด้วยเช่นกัน ภาพรวมเป็นเครื่องที่น้ำหนักเบา จับต้องได้ง่ายและมีความสวยงามและแข็งแรงในตัว

 

ประสิทธิภาพของ Nokia 8

 

เบื้องต้นทีจากที่ได้กดทดสอบประสิทธิภาพของ Nokia 8 ที่ใช้ CPU Qualcomm Snapdrahgon 835, RAM 4GB ความจำในตัว 64GB ทำได้ออกมาที่ 177,295 คะแนน ถือว่าทำได้ดีเกาะกลุ่มบน เพียงแต่น่าเสียดายถ้าได้รุ่น RAM 6GB ก็คงจะดีกว่านี้

ส่วนเรื่องของความลื่นไหลในการใช้งาน ถือว่าทำได้ดี เพราะเป็น Pure Android ที่ไม่ได้มีการปรับแต่งแต่อย่างใด น่าเสียดายที่เปิดตัวเร็วกว่า Android Oreo ออกมาเท่านั้นเอง แต่ความร้อนถึงแม่เขาจะบอกว่ามีเทคโนโลยีระบาความร้อนจาก Heat Pipe แล้ว แต่ดูเหมือนไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเท่าไหร่

ลูกเล่นเด่น ๆ ที่ได้ลอง

เนื่องจากได้ลองกันประมาณ 30 นาทีเท่านั้น ทำให้สามารถเล่นฟีเจอร์ส่วนใหญ่จะเป็นที่กล้องที่สามารถกดเล่นได้ดังนี้

  • Dual Sight Mode เป็นโหมดที่สามารถปรับให้กล้องหน้าและหลังให้สามารถทำงานร่วมกันได้ และสามารถถ่ายวีดีโอ หรือจะ Live หรือจะถ่ายภาพนิ่งก็ได้เช่นกัน แต่ว่า ระยะต้องเหมาะสมและจัดองค์ประกอบให้ดี ถึงจะออกมาสวย และดู ๆ ไปแล้วก็เหมาะกับการสัมภาษณ์คนลงข่าวได้ไม่น้อย
  • กล้องหลังของ Nokia 8 มีความสามารถเยอะ ทั้งสามารถปรับเรื่องความสดของสี, หรือขาวดำ หรือให้กล้องสีทำงานอย่างเดียว พร้อมกับมีระบบป้องกันภาพสั่นไหว เรียกได้ว่าลงตัว
  • กล้องหน้าคมชัดมากเพราะมีขนาด 13 ล้านพิกเซล และมี Beauty Mode ปรับได้ 20 ระดับ ถือว่ามากพอสมควร
  • Nokia OZO เป็นระบบอัดเสียงคุณภาพสูงเพราะสามารถใช้ไมโครโฟนทั้งหมด 3 ตัวอัดเสียงได้ และมีการปรับให้เสียงเข้ามาจากด้านใดด้านหนึ่งก็ได้เช่นกัน

  • UI ของกล้อง หลายคนเข้าใจว่า เป็นของ Nokia PureView แต่ข่าวร้ายคือ HMD เผยว่า PureView ยังเป็นของ Microsoft อยู่ ทำให้ UI ใหม่ ครบเครื่อง แต่ยังใช้งานยากและดูงง ๆ อยู่ ต้องอาศัยความเข้าใจเล็กน้อย
  • ลูกเล่น Pure Android มันเป็นจุดเด่นที่ทำให้เครื่องลื่นไหลดี

(ตัวอย่างภาพถ่ายจาก Nokia 8)

จากที่ได้ลองสั้น ๆ ถือว่าเป็นความลงตัวทั้งดีไซน์ของเครื่องที่สวยเบาและแข็งแรง ที่ได้การยืนยันจากทีมโนเกียเอง และความสามารถของมันที่มองแล้ว เหมาะกับคนที่อยากเป็น Content Creator หรือ ผู้สร้างเนื้องหาบนโลกออนไลน์จากฟีเจอร์ กล้องถ่ายภาพพร้อมกัน 2 ตัว ซึ่งตรงกับที่ได้สรุป 4 ข้อโดดเด่นของ Nokia 8 ไปก่อนหน้านี้

ส่วนราคานั้นถือว่าออกมาดีมาก อยู่ที่ 19,500 บาท เท่านั้นเองเรียกได้ว่าอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ ในเวลานี้อย่างมากเลยล่ะ

สุดท้ายนี่เป็นแค่ลองสั้น ๆ เพียง 30 นาที แต่ถ้ามาอยู่ร่วมกันนาน ๆ กว่านี้จะเป็นอย่างไร ติดตามในตอนต่อไปกับรีวิวที่ Sanook! Hitech เร็ว ๆ นี้

รวมเรื่องราว nokia 8 ที่นี่ คลิ๊ก!!!

สนับสนุนเนื้อหา http://hitech.sanook.com/1432889/

ชำแหละ “บัตรคนจน” ซื้อตรงไหน ใช้อย่างไร ได้กี่อย่าง

ปางปราบมาร

เปิดโปงความชั่วทั่วพิภพ ตีแผ่ความดีทั่วแผ่นดิน

1 ต.ค. 60 ดีเดย์ไปแล้วสำหรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ เรียกง่ายๆ ว่า ซึ่งเป็นรัฐสวัสดิการที่รัฐบาลได้ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพื่อแบ่งเบาภาระในสังคม

โดยบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ได้แบ่งประเภทบัตรตามรายได้ของผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือเป็น 2 ประเภท คือ

1.กลุ่มที่มีรายได้ไม่เกิน 3๐,๐๐๐ บาทต่อปี จะได้รับเงินอุดหนุนเพื่อซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคจำนวน 300 บาทต่อเดือน รวมทั้งค่าก๊าซหุงต้ม 45 บาทต่อคนต่อ 3 เดือน ค่ารถเมล์และรถไฟฟ้า 500 บาทต่อคนต่อเดือน,ค่ารถโดยสาร บขส. 500 บาทต่อคนต่อเดือน,ค่ารถไฟ 500 บาทต่อคนต่อเดือน

1g4

2.กลุ่มที่มีรายได้เกิน 3๐,๐๐๐ บาทต่อปี แต่ไม่เกิน 100,000 บาท จะได้รับเงินอุดหนุนเพื่อซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคจำนวน 200 บาทต่อเดือน รวมทั้งค่าก๊าซหุงต้ม 45 บาทต่อคนต่อ 3 เดือน ค่ารถเมล์และรถไฟฟ้า 500 บาทต่อคนต่อเดือน,ค่ารถโดยสาร บขส. 500 บาทต่อคนต่อเดือน,ค่ารถไฟ 500 บาทต่อคนต่อเดือน

แต่ทั้งนี้หลายคนยังสงสัยในวิธีการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ว่าสามารถใช้ที่ใด ซื้อของอะไรได้บ้าง มีเงื่อนไขอย่างไรและสามารถถอนเงินออกมาใช้ได้หรือไม่..?

บัตรสวัสดิการแห่งรัฐมีลักษณะคล้ายบัตรเครดิต บัตร ATM คือสามารถนำไปรูดซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคได้ ตามร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ที่ได้ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์ โดยชำระเงินก็ง่ายมากเพียงแค่รูดบัตรจ่ายเงินผ่านเครื่องรับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ เครื่อง EDC จากนั้นก็จะได้ใบเสร็จเป็นแสดงยอดที่ใช้จ่ายไปและยอดคงเหลือในบัตร

1g3

แต่ถ้าสินค้าที่ซื้อมีราคาเกินกว่าเงินที่อยู่ในบัตร ก็สามารถเติมเงินเข้าไปในบัตรได้ผ่านบริการกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Money ของธนาคารกรุงไทย ซึ่งนอกจากจะเติมเงินเข้าไปในบัตรแล้วยังสามารถใช้บัตรทำธุรกรรมฝาก ถอน โอน ผ่านตู้ ATM / ADM ของธนาคารกรุงไทยได้

เรียกได้ว่าสะดวกสบายสามารถพกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นแทนบัตร ATM ได้ แต่ไม่สามารถกดเงินหรือโอนเงินที่ได้รับจากการการอุดหนุนของโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Money ได้ และถ้าเงินอุดหนุนใช้ไม่หมดเงินก็จะถูกตัดทันทีไม่สามารถเก็บสะสมเพื่อนำไปทบยอดในเดือนหน้าได้

1g6

ด้านสิ้นค้าที่สามารถซื้อได้มีแบ่งเป็น 3 หมวดใหญ่ ดังนี้

สินค้าอุปโภค บริโภค เช่น หมวดอาหารสด,หมวดอาหารและเครื่องดื่ม,หมวดของใช้ประจำวัน,หมวดยารักษาโรค

สินค้าเพื่อการศึกษา เช่น เครื่องแต่งกายและอุปกรณ์การเรียน

สินค้าเพื่อเกษตรกรรม เช่น ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยอินทรีย์และเมล็ดพันธุ์พืชต่างๆ

ซึ่งสามารถตรวจสอบร้านธงฟ้าประชารัฐได้ดังนี้ ร้านธงฟ้าประชารัฐ

ขณะที่สวัสดิการช่วยเหลือค่าโดยสารรถเมล์,รถไฟฟ้า,รถไฟ,และรถร่วม บขส. บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แบ่งเป็น 2 แบบ

untitled-1copypptv

1. บัตร EMV ตั๋วร่วม (แมงมุม) สำหรับผู้มีสิทธิที่ลงทะเบียนในเขต กทม. นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สมุทรปราการ นครปฐม และ สมุทรสาคร โดยบัตรนี้ ไว้ใช้กับระบบขนส่งมวลชนทั้งหมดในกรุงเทพมหานคร

2. บัตร EMV สำหรับผู้มีสิทธิที่ลงทะเบียนในจังหวัดอื่นๆ (นอกเขต กทม. นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สมุทรปราการ นครปฐม และ สมุทรสาคร) สำหรับบัตรนี้ จะไม่สามารถใช้กับระบบขนส่งมวลชนทั้งหมดในกรุงเทพมหานคร.

โดยรถโดยสารที่ร่วมโครงการจะทำการติดตั้งอุปกรณ์ อี-ทิกเก็ต เพื่อใช้สำหรับคิดเงินค่าโดยสารจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพียงแค่แตะเบาๆก็สามารถจ่ายค่าโดยสารไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สอดคล้องกับ นายประยูร ช่วยแก้ว รองผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการเดินรถ และรักษาการแทนผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เปิดเผยว่า เตรียมการทยอยติดตั้งให้ครบตามเป้า 800 คัน ภายในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2560 ก่อน เพื่อรองรับผู้มีบัตรสวัสดิการรายได้น้อย

สำหรับประชาชนที่ไม่มีบัตรสวัสดิการผู้มีรายได้น้อย ขสมก. ได้ติดตั้ง ตู้รับเหรียญอัตโนมัติ หรือ แคชบ็อกซ์ ใช้จ่ายเงินสดได้ตามปกติ แต่เครื่องดังกล่าวจะรับได้แค่เหรียญเท่านั้น และจะเริ่มมีการเปิดจำหน่ายบัตรร่วมหรือบัตรแมงมุมให้ประชาชนได้ใช้บริการเครื่องอี-ทิกเก็ต อย่างเต็มรูปแบบทั้ง 2,600 คันได้ภายในเดือนมิถุนายน ปี 2560

1gr

ทั้งนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นสำหรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐส่วนใหญ่ประชาชนยังขาดความรู้ในการใช้บัตรและร้านธงฟ้าประชารัฐก็ยังมีไม่ทั่วถึงไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วไทย ด้านเงินอุดหนุนช่วยเหลือค่าเดินทางก็ยังไม่สามารถใช้ได้ทั้งหมดเท่าที่ควร เนื่องจากว่าปริมาณรถโดยสารที่ติดตั้งเครื่อง อี-ทิกเก็ต ยังมีไม่มากนัก

ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นปัญหาที่ทางโครงการสวัสดิการประชารัฐต้องรีบแก้ไข หากในอนาคตการขนส่งบริการทั้งหมดครอบคลุมและร้านธงฟ้าประชารัฐสามารถให้บริการได้ทุกพื้นที่ โครงการช่วยเหลือค่าครองชีพของคนที่มีรายได้น้อยย่อมเป็นประโยชน์อย่างสูงสุดและจะช่วยแบ่งเบาภาระของคนไทยได้สมกับบ้านเมืองที่น่าอยู่เหมือนดั่งคำขวัญที่ว่า “สยามเมืองยิ้ม”

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://news.sanook.com/3730734/

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ข่าวด่วน

มาอย่างไว โปรโมชั่นจอง Nokia 8 ในประเทศไทย เริ่มขึ้นแล้ว

มาอย่างไว โปรโมชั่นจอง Nokia 8 ในประเทศไทย เริ่มขึ้นแล้ว

มาอย่างไว โปรโมชั่นจอง Nokia 8 ในประเทศไทย เริ่มขึ้นแล้ว

S! Hitech (Rewrite)

สนับสนุนเนื้อหา

ถ้าจะเรียกว่าเสือปืนไวคงยกให้ Nokia เพราะล่าสุดหลังจากเปิดตัว  ไปเมื่อวันที่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมา ตอนนี้ก็มีข่าวดีว่า มือถือรุ่นดังกล่าวจะเข้ามาขายในประเทศไทย 29 สิงหาคมนี้ เรียกได้ว่าไวจริง ๆ

แต่ก่อนอื่นร้านขายมือถือชื่อดังอย่าง TG Fone, Jaymart ได้ Post รูปและโปรโมชั่นของ Nokia 8 ออกมา แล้ว ซึ่งของแถมนั้นยังคงแถมลำโพงและ Gift Set ให้เหมือนกันและมีการมัดจำด้วยเงิน 1,000 บาทเท่านั้น

ส่วนราคาของ Nokia 8 ในประเทศไทย ถึงแม้จะยังไม่ได้มีข้อมูลหลุดออกมานั้น เมื่อเทียบกับราคาที่เปิดตัวในต่างประเทศจะอยู่ระดับ 2 หมื่นบาท

1502941581165

 

เนื้อหาของ Nokia 8 นั้นเป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่บอดี้โลหะแบบ Unibody ขนาดหน้าจอของเครื่อง 5.3 นิ้วความละเอียดจอ 2560x1440 พร้อมกับกันน้ำได้ระดับ IP54 เบื้องต้นในประเทศไทยจะมีขาย 2 สีคือ สีน้ำเงิน และ เงิน

CPU Qualcomm Snapdragon 835, RAM 4 – 6GB ความจำในตัว 64 – 128GB รองรับ 4G, WiFi 802.11 AC, Bluetooth ให้แบตเตอรี่ขนาด 3000 mAh พร้อมกับกล้องข้างหลังคู่เลนส์ Zeiss ขนาด 13 ล้านพิกเซล ที่มีเทคโนโลยีทั้งยัง Nokia OZO Audio บันทึกเสียงรอบทิศ ถ่ายภาพพร้อมกันได้ทั้งกล้องถ่ายรูปหน้ารวมทั้งหลัง

แล้วก็จะได้ระบบปฏิบัติการ Android 7.1.1 พร้อมอัปเกรด Android Oreo ในไม่ช้านี้ รวมทั้งยังเป็น Pure Android 100% อีกด้วย

รวมเรื่องราว nokia 8 ที่นี่ คลิ๊ก!!!

สนับสนุนเนื้อหา http://hitech.sanook.com/1432561/

วันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2560

เทศกาลกินเจ 2560 การปฏิบัติตัว แนะนำอาหารเจ

เทศกาลกินเจ 2560 การปฏิบัติตัว แนะนำอาหารเจ

 

เทศกาลกินเจ 2560 ตรงกับวันที่ 20-28 ตุลาคม 2560 

เมื่อถึงวันขึ้น 1 ค่ำ ไปจนกระทั่งขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 เราจะเห็นธงสีเหลืองมีตัวหนังสือสีแดง ปรากฏให้เห็นอยู่ทั่วไปตามร้านอาหาร 2 ข้างถนน นั่นบ่งบอกให้รู้ว่า เป็นช่วงเวลาของเทศกาลกินเจ

คำว่า "เจ" ในภาษาจีนมีความหมายทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายานว่า "อุโบสถ" คำว่า "กินเจ" ตามความหมายที่แท้จริงคือการรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน ดังเช่นที่ชาวพุทธในประเทศไทยถือ "อุโบสถศีล" หรือ "รักษาศีล 8" จะไม่รับประทานอาหารหลังจากเที่ยงวันไปแล้ว แต่เนื่องจากการถืออุโบสถศีล ของชาวพุทธฝ่ายมหายานไม่กินเนื้อสัตว์ จึงนิยมเรียก "การไม่กินเนื้อสัตว์" ไปรวมกันคำว่า "กินเจ" ซึ่งเป็นการถือศีลไปด้วย ในปัจจุบันผู้ที่รับประทานอาหารทั้ง 3 มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ยังคงเรียกว่า "กินเจ" ฉะนั้นความหมายก็คือ "คนกินเจ" มิใช่เพียงแต่ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่คนที่กินเจ ยังต้องดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม มีความบริสุทธิ์สะอาด งดงามทั้งกาย วาจา ใจ เป็นการถือศีลบำเพ็ญธรรมไปด้วยพร้อมกัน เช่นนี้แล้วจึงจะเรียกว่า "กินเจที่แท้จริง" ดังนั้น คำคล้องจองที่เราได้ยินอยู่เสมอ คือ "ถือศีลกินเจ" จึงนับว่ามีความหมายสมบูรณ์ครบถ้วนอยู่ในตัวเองแล้ว

ตามร้านขาย "อาหารเจ" เราจะพบเห็นตัวอักษร คำนี้อ่าน "ไจ" (เจ) แปลว่า "ไม่มีของคาว"เขียนด้วยสีแดงบนพื้นสีเหลืองเสมอ ในช่วงเทศกาลกินเจเดือน 9 จะเห็นตัวอักษรนี้เขียนบนธงสีเหลือง ปักอยู่ตามแผงขายอาหารเจมองเห็นเป็นที่สะดุดตาแก่คนทั่วไป ชาวจีนถือว่าสีแดงเป็นสีแห่งสิริมงคลแก่ชีวิต สีเหลืองเป็นสีของผู้ทรงศีล ดังนั้นผู้ตั้งใจถือศีลบำเพ็ญตนให้บริสุทธิ์ ตัวอักษรนี้ย่อมเป็นเครื่องหมายเตือนสติให้ระลึกไว้เสอมว่า "การกินเจงดเว้นเนื้อสัตว์ของคาวคือ การปฏิบัติธรรม รักษาศีลของความเป็นมนุษย์ เป็นการเจริญมหาเมตตากรุณาธรรมโดยแท้ อันจะนำมาซึ่งความเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง และก่อให้เกิดสันติสุขแก่ทุกชีวิตบนโลก"

ที่มาของเทศกาลกินเจ

เทศกาลเจ เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 400 ปีมาแล้ว ตามตำนานเล่าว่า เกิดมาในสมัยที่ชาวจีนถูกรุกรานโดยชนชาติแมนจู ซึ่งเข้าปกครองประเทศจีน และบังคับให้ชนชาติจีนยอมรับวัฒนธรรมของตน อาทิ การไว้ทรงผมเยี่ยงแมนจู คือ โกนศีรษะโล้นทางด้านหน้าและไว้ผมยาวทางด้านหลัง ซึ่งหลายคนคงจะชินตาในภาพยนตร์จีนที่นำมาฉายทางทีวี

ในสมัยนั้น มีคนจีนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันต่อต้านชาวแมนจู โดยใช้หลักทางธรรมเข้ามาร่วมด้วย ชาวจีนกลุ่มนี้ นุ่งขาว ห่มขาวและไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ซึ่งมีความเชื่อว่า การประพฤติปฏิบัติตามแนวทางนี้จะช่วยสร้างความเข้มแข็ง ให้กับกลุ่มของตนจนสามารถต้านทานชาวแมนจูได้ คนกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า "หงี่หั่วท้วง" ซึ่งแม้จะได้ต่อสู้อย่างอาจหาญ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถต้านทานการรุกรานของชาวแมนจูได้

เมื่อถึงวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ชาวจีนที่ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของชาวแมนจู จึงพากันถือศีลกินเจ เพื่อรำลึกถึงเหล่านักสู้ "หงี่หั่วท้วง" ที่ได้ต่อสู้พลีชีพในครั้งนั้น

ความเชื่อถืออีกกระแสหนึ่งของตำนานการกินเจนั้น เชื่อกันว่าเป็นการสักการะพระพุทธเจ้าในอดีต 7 พระองค์ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า ดาวนพเคราะห์ทั้ง 9 ในพิธีกรรมนี้ สาธุชนจึงงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต หันมาบำเพ็ญศีล โดยการตั้งปณิธานในการกินเจ งดเว้นอาหารคาว เพื่อเป็นการสมาทานศีล 2 ประการ คือ

  1. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาบำรุงชีวิตของตน 
  2. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาเพิ่มเลือดของตน 
  3. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาเพิ่มเนื้อของตน

สำหรับเมืองไทยความเชื่อเรื่องการกินเจ เป็นไปในแนวทางของการละเว้นการเอาชีวิตของสัตว์ เพื่อเป็นสักการะบูชาแก่ พระพุทธเจ้า และมหาโพธิสัตว์กวนอิม อาจเนื่องจากการแพร่หลายของกการละเว้นการกินเนื้อวัว ในกลุ่มคนที่นับถือ "เจ้าแม่กวนอิม" การกินเจ จึงเป็นอีกหนึ่งพิธีกรรมเพื่อสักการะ

ความหมายของธงเจ

อักษรแดง บนพื้นเหลือง เขียนว่า "ไจ" หรือ "เจ" มีความหมายว่า "ของไม่มีคาว" สีแดงเป็นตัวแทนของความเป็นสิริมงคลในชีวิต ส่วนสีเหลืองเป็นสีของพุทธศาสนา หรือผู้ทรงศีล ธงเจนอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ของอาหารเจแล้ว ยังเป็นการเตือนให้พุทธศาสนิกชนที่ปฏิบัติตน "ถือศีล-กินเจ" ได้ตระหนักถึงการไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์และการตั้งอยู่ในศีลตลอดช่วงระยะเวลา 9 วัน 9 คืน

 

การปฏิบัติตัวในช่วงเทศกาลกินเจ

เมื่อตั้งมั่นที่จะปฏิบัติศีลและกินเจ ในช่วงเทศกาลกินเจ 9 วัน 9 คืนนี้แล้ว ก็ควรจะศึกษาข้อห้ามต่างๆ ที่บัญญัติไว้เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติตัว โดยทั่วไปแล้วจะมีข้อปฏิบัติดังนี้

  • งดเว้นเนื้อสัตว์ หรือทำอันตรายต่อสัตว์ 
  • งด นม เนย หรือน้ำมันที่มาจากสัตว์ 
  • งดอาหารรสจัด หมายถึง อาหารรสเผ็ดมาก เค็มมาก หวานมาก เปรี้ยวมาก 
  • งดผักกลิ่นฉุน 5 ชนิด คือ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุยช่าย ใบยาสูบ รวมทั้งเครื่องเทศที่มีกลิ่นฉุน 
  • รักษาศีล 5 
  • รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ รักษาอารมณ์ให้คงที่ 
  • ทำบุญ ทำทาน บางคนที่เคร่งอาจนุ่งขาว ห่มขาว

สำหรับคนที่กินเจอย่างเคร่งครัด นอกจากจะ "ถือศีล-กินเจ" แล้วยังต้องเลือกผู้ปรุงอาหารเจที่กินเจด้วย เพื่อให้ "อาหารเจ" นั้นบริสุทธิ์จริงๆ บางคนจะมีการคัดแยกภาชนะที่บรรจุอาหารหรือใช้ปรุงอาหาร แยกจากที่ใช้ใส่อาหารที่มีเนื้อสัตว์อย่างเด็ดขาด และในบางแห่งอาจพบว่ามีการจุดตะเกียงเก้าดวง ไว้เป็นเวลา 9 วันตลอดระยะเวลาการกินเจ เพื่อเป็นการรำลึกถึงบุญคุณพ่อแม่ญาติพี่น้อง และเพื่อเป็นพุทธบูชา

กินเจ 2560

อาหารเจ

ปัจจุบันมีการยอมรับกันโดยทั่วไปถึงคุณค่าของ "อาหารเจ" เนื่องจากการรับประทานพืชผักในปริมาณที่มากกว่าปกติ งดเว้นเนื้อสัตว์ ทำให้กระเพาะได้พักจากภารกิจการย่อยเนื้อสัตว์ที่ทำประจำอยู่ และได้รับวิตามินเข้าไปเสริมสร้าง ซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอ รวมทั้งได้โปรตีนจากถั่วชนิดต่างๆ ซึ่งแตกต่างจากโปรตีนที่เราได้รับจากเนื้อสัตว์ ช่วงเวลานี้จึงถือเป็นช่วงที่ร่างกายได้พักผ่อนจากการรับสารอาหารย่อยยากจากแหล่งอาหารต่างๆ รวมทั้งยังได้รับพลังใจจากการที่ปฏิบัติตัวอยู่ในศีล ทำให้จิตใจอิ่มเอิบ เบาสบาย

หลายคนคิดว่า การรับประทานแต่อาหารเจจะทำให้เกิดโรคขาดอาหาร ทั้งที่สาเหตุสำคัญของการเกิดโรคขาดอาหารนั้น มาจากการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกหลัก ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งกับผู้ที่กินเนื้อสัตว์และกินเจ ซึ่งมีนิสัยการบริโภคที่ไม่คำนึงถึงคุณค่าของสารอาหารที่ได้รับ

คนที่กินเจอย่างถูกหลักก็จะได้รับอาหารที่มีคุณค่า มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ การประกอบอาหารเจเพื่อรับประทานในช่วงนี้ จึงสามารถเลือกอาหารพวก ข้าวกล้อง (ใช้แทนข้าวขาว) โปรตีนเกษตร (แทนเนื้อสัตว์) ผักสด เห็ดหอม ถั่วนานาพันธุ์ เต้าหู้ แป้งหมี่กึง ทดแทน และผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำเป็นอาหารชนิดต่างๆ 
        

แนะนำตำราทำอาหารเจ

อานิสงส์ของการกินเจ ประเพณีกินเจของชาวจีน ก่อให้เกิดประโยชน์หลายด้านด้วยกันคือ

  1. ด้านศีลธรรม ผุ้กินเจจะปฏิบัตตนอยู่ในศีลธรรมอันดี มีความเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่เบียดเบียนผู้อื่นนับเป็นบุญกุศลใหญ่หลวง
  2. ด้านสุขภาพกาย ผู้กินเจจะมีสุขภาพกายดีเพราะไม่ดื่มของมึนเมา และไม่รับประทานเนื้อสัตว์ รวมทั้งอาหารประเภทไขมันสูง ทำให้ลดภาวะไขมันในเส้นเลือด ซึ่งมีอันตรายต่อชีวิต นอกจากนี้อาหารจากเนื้อสัตว์มักมีเชื้อโรคปะปน เสี่ยงต่อการเป็นโรคภัย ผุ้กินเจเป็นประจำจึมีอายุยืนนาน
  3. ด้านสุขภาพจิต ผู้กินเจจะมีสุขภาพจิตที่ดี เพราะผลจากการปฏิบัติธรรมที่ไม่คิดเบียดเบียนผู้อื่น ให้อภัยซึ่งกันและกัน และมีความเมตตาต่อกันทำให้จิตบริสุทธิ์แจ่มใสตลอดเวลา
  4. ด้านเศรษฐกิจ ผู้กินเจสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เพราะผักมักจะราคาไม่แพงเหมือนเนื้อสัตว์ทั่วๆไป
  5. ด้านสังคม ผู้กินเจจะมีความสามัคคีกัน เกิดการร่วมมือ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
  6. ด้านการเมือง เนื่องจากการกินเจ หรืออาหารจากพืชผัก ไม่มีกรกำหนดทางเชื้อชาติศาสนา จึงมีผู้เข้าร่วมพิธีกรรมอย่างมากมาย ประกอบกับปลูกฝังให้ผุ้เข้าร่วมพิธีมีควมสามัคคีจึงไม่ก่อห้เกิดความขัดแย้งระหว่างชุมชนบ้านเมืองสงบร่มเย็น ประชาชนอยู่กันอย่างประหยัด ภาวะเศรษฐกิจก็จะดีขึ้นส่งผลให้รัฐบาลมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้นด้วย

เจกับมังสวิรัติ ต่างกันอย่างไร

อาหารมังสวิรัติ คือ อาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบเช่นเดียวกับอาหารเจ แต่หากเป็นมังสวิรัตินั้น สามารถนำผักทุกชนิดมาประกอบอาหารได้ แต่อาหารเจ ต้องงดเว้นผักฉุน 5 ประเภท (ดังที่กล่าวมาแล้ว) รวมทั้งของเสพติดทุกชนิด และยังคงต้องประพฤติศีลร่วมด้วย จึงจะเป็นการ ถือศีล-กินเจ ที่แท้จริง ในขณะที่มังสวิรัติ หมายรวมถึงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์เท่านั้น

การกินเจ นอกจากจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของการสร้างบุญกุศลด้วยการละ เลิก เพื่อชีวิตแล้ว ในแง่ของสุขภาพร่างกายก็พลอยได้รับประโยชน์ร่วมด้วย เพราะถือเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่ร่างกายมีโอกาสพักผ่อน จากการย่อยอาหารประเภทที่ย่อยยากทั้งหลาย 

กิน "เจ" ที่ภูเก็ต

"เจ" ที่ภูเก็ตมาจากรากฐานความเชื่อเดียวกัน คนจีนเรียก "เจเดือนเก้า" แต่ถ้านับตรงกับเดือนไทยก็จะได้ตรงกับเดือน 11 เทศกาลกินเจที่ภูเก็ตจึงมีขึ้นหลังเทศกาลกินเจทั่วๆ ไป บางครั้งเราจึงมักได้ยินเชื่อเรียกของเทศกาลกินเจที่ภูเก็ต ว่าเป็นเทศกาลกินผัก ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือการกินเจในรูปแบบและระยะเวลา 9 วันเช่นเดียวกัน

ความเชื่อเกี่ยวกับการกินเจที่ชาวภูเก็ตเล่าสืบต่อกันมาว่า มีคณะงิ้วจากเมืองจีนมาเปิดการแสดงที่กะทู้ แล้วบังเอิญเกิดโรคระบาด คณะงิ้วจึงจัดให้มีพิธีกินเจ และสร้างศาลเจ้าขึ้น ปรากฏว่าโรคระบาดก็หายไปสิ้น ชาวบ้านเกิดความเลื่อมใสจึงปฏิบัติตาม นับเนื่องจากนั้นมีผู้ศรัทธามากขึ้นเรื่อยๆ ชาวกระทู้จึงอยากให้พิธี "กินเจ" ของตนสมบูรณ์แบบ ตามแบบพิธีในมณฑลกังไส จึงได้ส่งตัวแทนไปนำเอาควันธูปกลับมา โดยการตั้งมั่นที่แรงกล้า เพราะพิธีการนำควันธูปกลับมานั้น ต้องจุดธูปต่อกันมิให้มอดดับได้ ศาลเจ้ากระทู้จึงเป็นศูนย์กลางของเทศกาลการกินเจที่ภูเก็ตเรื่อยมา จนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศ

9 วันแห่งพิธีกรรมของการกินเจที่ภูเก็ต

ตอนบ่ายก่อนวันเริ่มกินผัก จะมีพิธียกเสา "โกเด้ง" ขึ้นที่หน้าศาลเจ้า หรืออ๊าม เพื่อใช้เป็นที่แขวนตะเกียงทั้ง 9 ดวง และอัญเชิญดวงวิญญาณของยกอ๋องฮ่องเต้ หรือ พระอิศวร และ กิวอ๋องไตเต หรือ ราชาผู้เป็นใหญ่ทั้งเก้า ในตอนกลางคืนเพื่อมาประดิษฐาน ณ ศาลเจ้าหรือ อ๊าม

เช้าวันรุ่งขึ้นมีการจุดธูปขนาดใหญ่ ตั้งเครื่องเซ่นและเผาไม้หอม เพื่อบูชาเจ้าประจำอ๊าม

หลังพิธีการกินเจ หรือชาวภูเก็ตเรียก "การกินผัก" ผ่านไป 3 วัน จะถือว่าตัวเองมีความสะอาดแล้ว หรือเรียกว่า "เช้ง" (清)ในตอนค่ำมีพิธีการอันเชิญเทพเจ้าอีก 2 องค์ คือ "ลำเต้า" เจ้าผู้ถือบัญชีคนเกิด และ "ปักเต้า" เจ้าผู้ถือบัญชีคนตาย และทำพิธี "ปั้งกุ้น" หรือพิธีปล่อยพระ หรือการจัดทหารของเจ้าไปรักษาศาลเจ้าทั้ง 5 ทิศ เพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้าย และภูตผีมาทำลายพิธี ความสนุกสนานเริ่มขึ้นตรงนี้ เมื่อการเชิญทหารเต็มไปด้วยร่างทรงของตัวละคร อาทิ เห้งเจีย บู๊สง เป็นต้น

ในวันที่เจ็ด เริ่มพิธี บูชาดาว เพื่อขอความเป็นสิริมงคล รักษาโรคภัยไข้เจ็บ

สองวันสุดท้าย เป็นความตื่นเต้นท้าทาย เมื่อมีการจัดขบวนพิธีแห่อย่างมโหฬาร เพื่อนำเกี้ยวไปรับพระจำหลักที่สะพานหิน เป็นการระถึงวันที่ควันธูปจากมณฑลกังไสมาถึงภูเก็ต ในขบวนแห่จะมีการแสดงอิทธิฤทธิ์ของม้าทรง หรือ คนทรงเจ้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย จะเห็นภาพของการใช้ของมีคมต่างๆ ทิ่มแทงตามร่างกาย มีทั้งง้าว ลูกตุ้มเหล็กฟาดหน้าฟาดหลัง เอาขวานจามหลัง หรือเอาเหล็กแหลมทิ่มแทงร่างกาย หรือแทงลิ้น จนกระทั่งเฉือนลิ้นตัวเองออกมา โดยท้าทรงเหล่านั้นอ้างว่าไม่มีความเจ็บปวดใดๆ ขณะเป็นร่างทรง ม้าทรงจะเดินเต้น ไปทั่วเมือง ชาวบ้านจะตั้งโต๊ะเครื่องเซ่นไหว้เพื่อให้เจ้าไปโปรดและมีการจุดประทัดตลอดเส้นทาง ทั้งเกาะปกคลุมด้วยควันธูปและประทัด

วันที่เก้า จะมีพิธีศักดิ์สิทธิ์ คือ พิธี "โก๊ยโห้ย" หรือพิธีลุยไฟสะเดาะเคราะห์ ม้าทรง หรือเจ้าจะเดินผ่านกองไฟ ที่มีถ่ายร้อนแดงเป็นระยะทางกว่า 2 ฟุต และตามด้วยผู้ที่ถือศีลกินเจที่มีความมั่นใจว่าตัวเองสะอาดแล้ว ก็สามารถร่วมลุยไฟได้ด้วยเช่นกัน ในตอนกลางคืนจะมีพิธีปีนบันไดมีด สูงประมาณ 12 เมตร และจบลงที่ยามดึกของคืนวันที่ 9 จะมีการแห่พระไปส่งทะเลบริเวณสะพานหิน และนำเสาโกเต้งลงดับโคมไฟทั้ง 9 เป็นเสร็จพิธีกินเจที่ภูเก็ต

กินเจ ที่ภูเก็ต ออกไปในแนวสนุกสนาน ตื่นเต้น ด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ ซึ่งพิสูจน์ไม่ได้ แต่หลายคนที่ไปดูด้วยตาตนเอง ยังพกความตื่นตาตื่นใจ เป็นประสบการณ์มาถึงปัจจุบัน และเป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรมการกินเจอีกรูปแบบหนึ่ง

รอบรู้เรื่องการกินเจ

Image result for กินเจ site:sanook.com

ถ้าจะกินเจ ต้องห้ามกินอะไรบ้าง

อีกไม่กี่สัปดาห์เทศกาลกินเจก็ใกล้จะเข้ามาถึงแล้ว บางคนอาจจะถือศีลกินเจมาอย่างต่อเนื่องทุกปี แต่สำหรับคนที่เพิ่งจะตัดสินใจเริ่มในปีนี้ก็ต้องขอบอกเอาไว้ก่อนว่า การกินเจก็คือการกินผัก กินอาหารที่เป็นชีวะจิต งดเว้นการรับประทานเนื้อสัตว์ทุกประเภท รวมถึงการถือศีลอย่างเคร่งครัด รวมถึงมีวิธีและข้อห้ามที่ชัดเจนที่เราควรระลึกได้อยู่เสมอ อย่างการกินผัก ก็ไม่ใช่ว่าเราจะสามารถกินผักได้ทุกประเภทนะ

อ่านเพิ่มเติม: http://horoscope.sanook.com/70961/

Image result for กินเจ site:sanook.com

กินเจอย่างไร ให้ได้บุญสูงสุด

การถือศีลกินเจนับได้ว่าเป็นการทำบุญรูปแบบหนึ่งที่ชาวไทยเชื้อสายจีนนิยมปฏิบัติกันเป็นประจำทุกปี หรือแม้แต่ช่วงหลังๆ นี้ ชาวไทยแท้ๆ เองก็หันมากินเจกับเขาบ้าง เพื่อเป็นการชำระล้างจิตใจให้สะอาด บริสุทธิ์ อีกทั้งยังเป็นการดูแลตัวเองรูปแบบหนึ่ง เคยสงสัยกันรึเปล่าว่ากินเจยังไงให้ได้บุญมากที่สุดล่ะ ? เช่นกัน เคยได้ยินคำพังเพยว่า “ตักบาตรอย่าถามพระ” รึเปล่า ?

อ่านเพิ่มเติม: http://horoscope.sanook.com/89125/

จริงหรือไม่? กินเจห้ามออกกำลังกาย

ออกกำลังกาย ในช่วงกินเจ ได้หรือไม่

การกินเจก็เปรียบเสมือกับการรับประทานอาหารปกติ ผู้ที่ถือศีลกินเจสามารถออกกำลังกายได้ตามปกติ แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าสำหรับคุณหนุ่มๆ สาวๆ ที่รักการออกกำลังกาย หรืออยากสร้างกันเป็นจริงเป็นขนาดนั้น อยากให้ลดระดับความเข้มลงมาเสียหน่อย อาจะเป็นการออกกำลังกายปกติที่ไม่หนักมาก หากรับประทานอาหารประเภทโปรตีนไม่มากพอ การสร้างกล้ามเนื้อก็จะไม่เป็นอย่างที่เคย เผลอๆ อาจทำให้ร่างกายมีอาการอ่อนเพลียได้ง่ายอีกด้วย

อ่านเพิ่มเติม: http://health.sanook.com/1565/

กินเจอย่างไรไม่ให้อ้วน และไม่ขาดสารอาหาร

ทานเจอย่างไร ให้อ้วนน้อยที่สุด

ถึงแม้ว่าการถือศีลกินเจจะเป็นการงดเว้นเนื้อสัตว์ทุกชนิด และหันมารับประทานพืชผักแทน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ากินเยอะๆ แล้วจะไม่อ้วนได้ นั่นเพราะว่าเรายังคงรับสารอาหารที่เป็นแป้งเข้าสู่ร่างกายอยู่ อย่าง ข้าว หรืออาหารที่เป็นเส้นซึ่งก็ทำมาจากแป้งเช่นกัน ฉะนั้นเราก็ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นว่าให้กินพืชผักสดๆ มากกว่าที่จะผ่านการดอง รวมถึงข้าว แนะนำว่าเป็นข้าวกล้องมากกว่าข้าวขาว

อ่านเพิ่มเติม: http://health.sanook.com/1465/

มาดูการกินเจตามดวง กินตามราศี

บางครั้งการกินเจถึงแม้จะมีการงดเว้นอาหารประเภทต่างๆ แต่เราก็ไม่ควรที่จะเลือกรับประทานอาหารทุกอย่าง นั่นเป็นเพราะว่าร่างกายของคนเราไม่เหมือนกัน ระบบการทำงานต่างๆ ก็ยังแตกต่างกันมาก การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับเรามากที่สุดก็จะเป็นผลดีต่อร่างกายทีเดียว แนะนำว่าให้เลือกรับประทานอาหารตามราศีดู ไม่ได้แปลว่าทานเข้าไปแล้วจะช่วยให้ดวงดี แต่การกินเจตามดวงตามราศีนั้นผ่านการคิดมาแล้วว่าร่างกายของคนแต่ละราศีเป็นอย่างไร

อ่านเพิ่มเติม: http://horoscope.sanook.com/89865/

 

อ่านเรื่องราวเทศกาลกินเจเพิ่มเติมได้ที่

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ข่าว