วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ปีกไก่ย่างสูตรเด็ด...อร่อยล้ำภายในครึ่งชั่วโมง ไม่ต้องหมักข้ามคืนข้ามวันให้เสียเวลาค่ะ

ปีกไก่ย่างสูตรเด็ด...อร่อยล้ำภายในครึ่งชั่วโมง ไม่ต้องหมักข้ามคืนข้ามวันให้เสียเวลาค่ะ

ปีกไก่ย่างสูตรเด็ด...อร่อยล้ำภายในครึ่งชั่วโมง ไม่ต้องหมักข้ามคืนข้ามวันให้เสียเวลาค่ะ

...เมนูนี้ ชิ้งน้อยภูมิใจเสนอมากค่ะ สมัยก่อนเวลาจะกินไก่ย่างที ต้องรีบเข้าครัวไปหมักเย็นนี้ พรุ่งนี้ค่อยกิน เพราะอยากให้ซอสต่างๆซึ้มซับเข้าไปในเนื้อไก่และได้รสชาติที่เข้มข้น แต่ต่อไปนี้ไม่ต้องคอยนานแบบนั้นอีกแล้วค่ะ เพียง30นาที กับเครื่องปรุงไม่กี่อย่าง ก็สามารถเนรมิตรไก่ย่างหน้าตาดี ทำง่าย อร่อยเว่อร์แย้วววววว ส่วนเทคนิคนั้นจะเป็นอะไร ตามมาชมกันได้เลยจ้า...

 

วัตถุดิบที่ต้องเตรียม

1 ปีกไก่

2 รากผักชี กระเทียม พริกไทยดำโขลกละเอียด

3 น้ำมันหอย

4 ซีอิ้วขาว

5 น้ำปลา

6 ซอสปรุงรส

7 น้ำตาลทราย

วิธีทำ

1 ตั้งกระทะเจียวรากผักชี กระเทียม พริกไทยดำโขลกละเอียดจนหอม ปรุงรสด้วยน้ำมันหอย ซีอิ้วขาว น้ำปลา ซอสปรุงรส น้ำตาลทราย ชิมแล้วปรับจนจัดหามารสชาติที่ชอบ

 

2 ใส่ปีกไก่ตามลงไปภายในกระทะ คลุกเคล้าซอสต่างๆให้เคลือบไก่โดยทั่ว ผัดจรเรื่อยๆจนไก่สุกระดับหนึ่ง เทคนิคนี้จะช่วยทุ่นเวลาอบหรือย่างไก่ในขั้นตอนถัดไปด้วยค่ะ แถมทำให้ซอสสุดเข้มข้นเคลือบไปบนชิ้นไก่ทุกชิ้น ชนิดไม่ต้องคอยนมนานกาเลด้วย

 

3 สุดท้ายนำไปอบด้วยไฟ 180 ประมาณ 15นาที และ 200 อีกซัก 5 นาที ทั้งนี้คอยดูด้วยนะคะ ระวังจะไหม้ค่ะ หรือถ้าบ้านใครไม่มีเตาอบ สามารถนำไปย่างหรือทอดก็ได้เช้กันค่ะ

 

เป็นไงคะ เห็นมะ บอกแล้วว่าทำง่ายมั่กๆเลย มาชมผลงานอีกครั้งนะคะ

 

"ก่อนจะลาจากกันไปในวันนี้ ชิ้งขอฝากหนังสือ cookbook เล่มแรกในชีวิตสิ่งชิ้งไว้ในอ้อมใจเพื่อนๆด้วยนะคะ ในเล่มมีถึง 50 เมนู ทั้งอาหารไทย จีน ฝรั่ง ญี่ปุ่นเลยจ้า หาซื้อได้แล้ววันนี้ที่ร้านนายอินทร์ Kinokuniya ซีเอ็ด B2S และร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ หน้าปกเป็นข้าวผัดปลาทู ด้านหลังปกจะมีชิ้งยืนยิ้มให้อยู่จร้า ^ ^"

ข้อมูลและรูปภาพเพิ่มเติมได้ที่ http://women.sanook.com/blog/23799/

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : เคล็ดลับความงาม

5 วิธีกินอาหารลดสิว เผยผิวหน้าใสอย่างเป็นธรรมชาติ

5 วิธีกินอาหารลดสิว เผยผิวหน้าใสอย่างเป็นธรรมชาติ

5 วิธีกินอาหารลดสิว เผยผิวหน้าใสอย่างเป็นธรรมชาติ

ปัญหาสิว เป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติของสาวๆ ทุกคน เพราะกว่าสิวจะหายไปแต่ละเม็ดย่อมใช้เวลาหลายนานวัน หนำซ้ำยังมีรอยสิวดำๆ ให้ใบหน้ามีตำหนิไม่สวยสดใสอีก ไม่เพียงเท่านั้น สาวๆ บางคนยังต้องเครียดเป็นสองเท่า เมื่อสิวเจ้าเก่ายังหวนกลับมาเป็นซ้ำๆ ที่เดิมไม่ยอมหายไป แต่วิธีกินอาหารลดสิวเหล่านี้มีส่วนช่วยยับยั้งและลดโอกาสในการเกิดสิวขึ้นได้ ต้องกินอาหารอะไรบ้างนั้น มาดูกันค่ะสาวๆ

5 วิธีกินอาหารลดสิว เผยผิวหน้าใสอย่างเป็นธรรมชาติ
5 วิธีกินอาหารลดสิว เผยผิวหน้าใสอย่างเป็นธรรมชาติ

1.ดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ

การดื่มน้ำสะอาดให้มากเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จะช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิวและทำให้เกิดการดีท็อกซ์ขับล้างของเสียออกจากร่างกายได้ ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งกระจ่างใส ใครที่สิวขึ้นบ่อยๆ ต้องหันมาดื่มน้ำบำบัดสิวแล้วล่ะ รับรองของเสียจะถูกขับออกจากทางปัสสาวะและการขับถ่าย หมดทั้งปัญหาท้องผูกในตัว งานนี้ดีต่อสุขภาพและผิวหน้าสดใสอย่างเต็มๆ เลยทีเดียว

5 วิธีกินอาหารลดสิว เผยผิวหน้าใสอย่างเป็นธรรมชาติ
5 วิธีกินอาหารลดสิว เผยผิวหน้าใสอย่างเป็นธรรมชาติ

2.กินผักใบเขียวทุกมื้อ

การกินผักใบเขียวนับว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อร่างกาย นอกจากจะทำให้สุขภาพดีแล้ว งานวิจัยยังบอกเอาไว้อีกด้วยนะคะว่าการกินผักใบเขียวจะช่วยปรับค่า pH ภายในร่างกายให้สมดุล และผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็ยังเชื่อกันอีกด้วยว่า ผักใบเขียวจะช่วยลดการเกิดสิวลงได้อีกด้วย นอกจากนี้ มันยังเปี่ยมไปด้วยไฟเบอร์ที่จะช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น ลดการสะสมของสารพิษภายในร่างกายอันเป็นสาเหตุในการเกิดสิวได้เป็นอย่างดีนั่นเอง

5 วิธีกินอาหารลดสิว เผยผิวหน้าใสอย่างเป็นธรรมชาติ
5 วิธีกินอาหารลดสิว เผยผิวหน้าใสอย่างเป็นธรรมชาติ
 

3.กินถั่วอยู่เสมอ

ถั่วเป็นแหล่งของใยอาหาร หากกินแล้วจะทำให้รู้สึกอิ่มท้อง ช่วยควบคุมความอยากอาหารลงได้และยังดีต่อระบบขับถ่าย แก้ปัญหาท้องผูก ทำให้ของเสียถูกขับออกไปจากร่างกาย ไม่สะสมไว้จนเป็นเหตุทำให้สิวขึ้น ไม่เพียงเท่านั้นนะคะ ถั่วยังมีโปรตีนสูงกินแล้วจะช่วยบำรุงสุขภาพผิวให้ยืดหยุ่นกระชับเต่งตึง ผิวอ่อนเยาว์และชุ่มชื้นขึ้นได้อีกด้วย

5 วิธีกินอาหารลดสิว เผยผิวหน้าใสอย่างเป็นธรรมชาติ
5 วิธีกินอาหารลดสิว เผยผิวหน้าใสอย่างเป็นธรรมชาติ

4.ดื่มชาเขียว

เครื่องดื่มชาเขียว เราต่างก็รู้ดีว่ามีคุณสมบัติดีต่อการบำรุงผิวพรรณเช่นกัน และยังดีต่อเรื่องของสิวอีกด้วย เนื่องจากในชาเขียวมีสารโพลีฟีนอลที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ โดยจะช่วยยับยั้งและลดโอกาสในการเกิดสิว นอกจากนี้ ชาเขียวยังช่วยลดการอักเสบของผิวลงได้อีกด้วย จิบบ่อยๆ รับรองผิวสวยปิ๊งไร้สิวกวนใจแน่นอน

5 วิธีกินอาหารลดสิว เผยผิวหน้าใสอย่างเป็นธรรมชาติ
5 วิธีกินอาหารลดสิว เผยผิวหน้าใสอย่างเป็นธรรมชาติ

ขอบคุณภาพประกอบจาก http://www.stylecraze.com/

5.งดดื่มน้ำอัดลมและแอลกอฮอล์

เนื่องจากในน้ำอัดลมมีน้ำตาลปริมาณสูง หากดื่มเข้าไปมากๆ ร่างกายจะสร้างอินซูลินออกมาเพื่อลดน้ำตาล ทำให้ไขมันที่ผิวหนังถูกสร้างออกมามากขึ้นตามด้วย และนี่ก็คือสาเหตุของการเกิดสิวดีๆ นี่เองค่ะ นอกจากนี้ สาวๆ ที่ชอบดื่มค็อกเทลก็ต้องพยายามหลีกเลี่ยงเช่นกัน เพราะมันเป็นแหล่งที่มีน้ำตาลปริมาณสูงไม่น้อย ในขณะที่การดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้ความชุ่มชื้นของผิวเลือนหายไป ส่งผลให้ผิวแห้ง ต่อมไขมันก็ต้องเร่งผลิตน้ำมันออกมาเพื่อรักษาสมดุลของผิว และทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการมีสิวขึ้นได้นั่นเอง

อยากให้สิวหายไป เผยผิวหน้ากระจ่างใสแบบไร้ที่ติ แถมยังทำให้สุขภาพดีทั้งจากภายในภายนอก สาวๆ ต้องหันมากินอาหารตามคำแนะนำเหล่านี้บ่อยๆ แล้วนะคะ

ขอบคุณข้อมูลจาก http://women.sanook.com/blog/74663/

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : มีวิธีรักษาสิวอะไรบ้าง

หนุ่มเจ้าของกิจกรรม "กอดฟรี" โพสต์ชี้แจง หลังดราม่าหนัก

หนุ่มเจ้าของกิจกรรม "กอดฟรี" โพสต์ชี้แจง หลังดราม่าหนัก

หนุ่มเจ้าของกิจกรรม "กอดฟรี" โพสต์ชี้แจง หลังดราม่าหนัก

หนุ่มผู้ริเริ่มกิจกรรม Free Hug กอดฟรี กลางสนามหลวง โร่โพสต์ชี้แจงลอดเฟซบุ๊ก ยืนยันเจตนาดี เคยทำมาแล้วที่สยามฯ ก่อนจะย้ายที่ไปสนามหลวง คว้ารับกระแสตอบรับดี ไม่ได้มีอะไรแอบแฝง

จากกรณีที่กลายเป็นประเด็นดราม่าในสังคมออนไลน์ กิจกรรมกอดฟรีกลางสนามหลวง กระทั่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงความเหมาะสม แม้กระทั่งทางรัฐบาลยังออกมาติติงในเรื่องกาลเทศะ เนื่องจากมีชายหญิงออกมาสละให้ผู้คนทั่วไปกอดแบบฟรีๆ ที่อาจจะไม่เข้ากับวัฒนธรรมไทย ตามที่ข่าวนำเสนอไปแล้วนั้น

ล่าสุดผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Teerawat Pinpanichakarn ได้รับโพสต์ชี้แจงกรณีดราม่าเกี่ยวกับกิจกรรม Free Hug ครั้งนี้แล้ว โดยระบุว่า ตนคือคนที่เริ่มต้นกิจกรรมนี้ โดยมีความคิดกับเพื่อนว่า จะทำกิจกรรม Free hug กัน เพื่อปลอบประโลมใจคนไทยที่กำลังเศร้าใจกันอยู่ และได้มีการเริ่มต้นกิจกรรมที่ย่านสยามสแควร์ เมื่อวันจันทร์ที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา ผลตอบรับค่อนข้างดี ตนจึงตัดสินใจว่าจะไปทำกิจกรรมนี้ที่สนามหลวง ซึ่งได้เริ่มทำกิจกรรมนี้ในวันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม และผลตอบรับก็ออกมาดีมากเช่นกัน

ทั้งนี้การทำกิจกรรมนั้น ตนเองจะพยายามสอดแทรกข้อคิดว่า ทุกคนว่าอย่าลืมกลับไปกอดคนที่บ้าน เพราะผมไม่ได้จงการจ่ายเขามากอดตนเท่านั้น ตนอยากให้คนที่ได้รับสารนี้ นำความรู้สึกดีๆ ไปส่งต่อคนในครอบครัว ญาติมิตรสหาย และคนรอบๆ ตัว

ประเด็นดราม่าครั้งนี้ เกิดขึ้นครั้งวันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมา ตนได้รับนัดกับน้องผู้หญิงที่เห็นรูปดราม่ามาเจอกันเพื่อไหว้พ่อหลวง และตนเองก็ได้ทำกิจกรรม Free Hug หลังจากนั้น จึงได้ชวนให้ลองทำกิจกรรมดูว่ารู้สึกยังไง โดยที่น้องผู้หญิงยืนอยู่เพียง 3 นาทีเท่านั้น ก่อนจะแยกย้ายกัน

ต่อมาสู่ในวันที่ 24 ตุลาคม ตนก็ไปทำกิจกรรม Free Hug เช่นเดิมอีกครั้ง เสียแต่ว่าครั้งนี้เมื่อเข้าไปทำกิจกรรม ปรากฏว่าตนถูกเชิญตัวออกไป โดยเจ้าหน้าที่ทางการเชิญเดินให้ปากคำที่กองอำนวยการฯ

หนุ่มผู้คิดทำกิจกรรมดังกล่าวยืนยันว่า กิจกรรมนี้ไม่มีจุดประสงค์แอบแฝงแต่อย่างใด แค่ต้องการส่งต่อความรู้สึกดีๆ ให้กำลังใจด้วยการกอด เหมือนสิ่งที่พ่อสอน ท่านไม่ได้สอนให้เรารักท่าน แต่ท่านสอนให้เรารักและสามัคคีกัน ตนจึงอันเชิญคำสอนนั้นมาเขียน เพื่อที่จะบอกถึงความตั้งใจว่า ตนอยากเป็นส่วนหนึ่งที่อยากทำให้คนไทยได้รักกันตามพระราชดำริของพระองค์ท่าน ซึ่งสอดคล้องกับกิจกรรม Free Hug ที่เน้นการส่งต่อความรักและกำลังใจต่อกัน

ลายละเอียดเพิ่มเติมที่ http://news.sanook.com/2089690/

มองชีวิตให้มีแต่ความเอ็นจอย “รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น”

มองชีวิตให้มีแต่ความเอ็นจอย “รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น”

มองชีวิตให้มีแต่ความเอ็นจอย “รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น”

แขอยากให้เลิกฝังความคิดเรื่องความดูดีต้องขาว ต้องสูง ต้องผอม ตัวเล็ก เราควรภูมิใจในแบบที่เราเป็นเราโดย รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น

ฟังแค่ชื่อทีไร พลอยนึกว่าเธอคือหนึ่งในผู้เข้าประกวดนางงามทุกที แต่แท้ที่จริง “รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น” เป็นชื่อในวงการบันเทิงของพิธีกร ดาราผู้ชายนะคะผิวสีที่แม้จะเข้ามาชิมลางงานในแวดวงมายาได้ไม่นาน แต่กลับมีบุคลิก และผลงานเตะตา

เส้นทางก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงของเธอมาจากความฝันที่ตั้งไว้ และพุ่งเข้าชน (อย่างแรง) เพราะอยู่ดีๆ เธอก็พาร่างสูงใหญ่ ผิวสีสไตล์ลูกครึ่งไทย-อเมริกันเดินตรงไปที่ตึกแกรมมี่ เพื่อบอกว่า “พี่คะ หนูอยากเป็นดารา” อะไรผลักดันให้เธอช่างกล้าทั้งๆ ที่รู้ว่าบ้านเราต้องสวย ขาว หล่อ หุ่นดีเท่านั้นถึงจะเข้าเส้นชัย Sanook! Women อยากให้คุณรู้จักเธอไปพร้อมๆ กัน แล้วจะรู้ว่าชีวิตของรัศมีแขมีสีสันพอๆ กับรอยยิ้มของเธอ

จะ “แจ่ม” “เจมส์” หรือ “รัศมีแข” ก็โดนล้อว่า “ขวานฟ้าหน้าดำ”
ในระหว่างให้สัมภาษณ์รัศมีแขมักเรียกแทนตัวเองว่า “แข” ทั้งๆ ที่ชื่อจริงของเธอคือ “เจมส์ ฟอเกอร์ลุนด์” มีเชื้อสายลูกครึ่งไทย-อเมริกัน เกิดที่เมืองไทยและอยู่ที่นี่จนอายุ 10 ขวบก่อนจะตามไปอยู่กับคุณแม่ที่สวีเดนหลังคุณแม่แต่งงานใหม่

แม้จะเกิดที่ภูเก็ต แต่ชีวิตก็ย้ายไปอยู่จังหวัดนั้นจังหวัดนี้บ่อยครั้ง และเป็นเรื่องธรรมดาที่เธอยอมรับว่าลูกครึ่ง ผิวดำ และเพศทางใจไม่ตรงกับเพศทางกายแบบเธอ จะไปอยู่ที่ไหนก็ต้องโดนล้อ โดนแกล้ง

“แขมีพี่สาวคนละพ่อเป็นลูกครึ่งสวิสเซอร์แลนด์ ขาว สวย แต่แขเป็นลูกครึ่งอัฟโฟรอเมริกัน จะโดนเปรียบเทียบตลอด เมื่อก่อนก็งงว่าทำไมต้องมาว่าเราเป็นมูฮัมหมัด อาลี ให้ถอดเสื้อแล้วชกมวย เราอายนมเรามาก มีแต่คนบอกว่าเราเหมือน ไปไหนก็มีแต่คนเรียกขวานฟ้าหน้าดำ ข้าวนอกนา เราก็งงว่าคืออะไร แต่ไม่โกรธ”

ใช้ “จุดอ่อน” ผลักดันให้เกิด “จุดแข็ง”
เมื่อย้ายไปอยู่สวีเดนกับคุณแม่ การอยู่ร่วมกับชาวต่างชาติ ยิ่งทำให้รู้สึกกดดันเนื่องจากเด็กสวีเดนแท้ๆ ไม่ยอมรับชาวต่างชาติ และเธอยังมีปัญหาเรื่องภาษา ปีแรกของการเรียนเธอจึงดร็อปทุกวิชาเพื่อมุ่งมั่นเรียนภาษาสวีเดนให้แข็งแรง

“ภาษาเราสู้เขาไม่ได้ แทนที่เราจะเสียใจ เราก็โอเคและสู้ไปกับปัญหา แม้จะโดนล้อว่าเป็นตุ๊ด แต่ไม่โกรธ เพราะเรารู้ตัวดีอยู่แล้ว แต่พอภาษาเราไม่เก่ง เราเลยหันไปเอาดีเรื่องงานฝีมือ วาดรูป พละ แค่นี้ก็ทำให้เรากลายเป็นเด็กดังในโรงเรียน พอดังก็เริ่มได้รับการยอมรับ การล้อก็เริ่มหายไป ตอนนั้นคิดตลอดเวลาว่าเราต้องเป็นเด็กดี ต้องเป็นที่รักของอาจารย์ มันก็หนีไม่พ้นที่จะมีคนเกลียด”

เมื่อเข้าไฮสคูลเธอโดนล้อหนักรุ่งเรื่อยๆ แม้จะรับจ้างเป็นพนักงานร้านขายสิ่งของชำหาเงินใช้เอง กระทั่งเก็บเงินซื้อกระเป๋าใบละ 7 หมื่นใช้ได้ ก็ไม่วายโดนเพื่อนแกล้งสารพัด รุนแรงตลอดขนาดเผากระเป๋าในล็อกเกอร์ โชคยังดีที่วันนั้นเธอไม่ได้ใช้กระเป๋าใบแพง แม้ว่ามันก็สะท้อนว่าเธอไม่ได้รับการยอมรอง

“เคยมีพวกแขกท้าเราไปตีหลังโรงเรียน เราเป็นคนไม่คิดอะไร เลยบอกได้ แต่บอกฉันไม่ไปไหน ถ้าจะตีก็ตีกันตรงนี้ ไอ้นั่นก็ไม่กล้า กลัวคนเห็น”

ตัวตนที่แท้จริงของฉันอยู่หนใด ?
เพราะเพศที่ไม่ได้ลงคะแนนเสียงตั้งแต่แรกทำอำนวยเธอมุ่งมั่นหาจุดยืนของตัวเอง หลังเรียนจบการโรงแรมเธอสมัครงานบริษัทเมคอัพสโตร์ และมีโอกาสบินมาทำงานเขตเมืองไทย เสียแต่ว่ากลับพบว่าไม่ใช่สิ่งที่อยากทำ จนมีโอกาสพบกับคุณโอ ศิระ ที่ช่วยเตือนสติให้ค้นหาตัวเอง เมื่อกลับสวีเดนก็ไปสมัครเป็นตัวแทนขายตั๋วเครื่องบินท้ายที่สุดก็พบว่ายังไม่ใช่สิงดี

ในช่วงเวลาที่ยังสับสน วอลเลย์บอลคือกีฬาที่เธอเลือกคือเป้าหมายสั้นๆ รอการค้นพบตัวตนณแท้จริง
“ตอนนั้นอายุ 26 ทำงานเสิร์ฟอาหารที่ร้านอาหารไทยอาทิตย์ละ 1 วัน แขคงไว้กับแฟน ไม่ได้คิดอะไรมาก ขอแค่ได้เล่นวอลเลย์บอลอาทิตย์ละ 1 วันกับแก๊งค์ตุ๊ด แก๊งค์เกย์ไทย เล่นเป็นบ้าเป็นบอ ไม่ทำอะไรเลย ตื่นเช้าส่งหลาน กลับมากินข้าว เดินไปสนามวอลเลย์บอล พอเล่นเสร็จแฟนก็มารับ วันอาทิตย์ตื่นเช้าไปทำงาน 9 โมงถึง 5 ทุ่ม มีชีวิตแบบนี้ตลอด”

ชีวิตเคว้งคว้างไร้จุดหมาย จนมุมคิดว่าจะขอเล่นวอลเลย์บอลด้วยกันใช้ชีวิตแบบตรงนี้ไปจนถึงอายุ 30 แล้วค่อยหางานทำเป็นเรื่องเป็นราว

มีวันนี้เพราะพี่ (แท่ง) ให้
ความรักชอบการแสดง ในสวีเดนเธอจึงเป็นที่รู้จักและมักรับจ้างเป็นพิธีกรงานต่างๆ บ่อยครั้ง กระทั่งมีโอกาสเป็นไกด์นำเที่ยวให้แท่ง ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง และแท่งคือผู้ที่เห็นคาแรคเตอร์ของเธอก่อนเอ่ยปากชวนให้กลับมาอยู่เมืองไทย คำชักชวนนั้นกลายเป็นเชื้อไฟแห่งความฝันและความหวัง แม้ตอนนั้นสมัครแอร์โฮสเตสไว้ เธอกลับตัดสินใจหนีมาเมืองไทยเพื่อตามฝันการเป็น “ดารา”

“แขไปเลยค่ะ ประกวด KPN รอบสุดท้าย อีฉันแค่คิดว่าเราต้องได้ออกทีวี เราก็สดตัวของตัวเองแบบนี้ มือสั่นด้วย สุดท้ายเข้ารอบ 30 คนสุดท้าย แต่ก็ได้แค่นั้น เรื่องนั้นเราคิดว่าเราจะต้องทำอะไรสักอย่างให้พี่แท่งภูมิใจ”

พลัดนั้นเธอตัดสินใจเขียนเรซูเม่เดินเข้าเสด็จพระราชดำเนินที่ตึกแกรมมี่บอกเจตนารมณ์นินทาอยากเป็นดารา เจ้าหน้าที่แนะนำให้ขึ้นไปติดต่อส่วนที่เกี่ยวข้อง เป็นความบังเอิญที่เธอเจอกับพี่ฉอด สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา ซึ่งเห็นแววและมอบงานพิธีกรสน.ฮอลลีวูด รายการแรก ก่อนจะตามด้วยละคร Club Friday To be Continued ตอนความลับของมิ้นต์กับมิว และผลงานอื่นๆ

“ตอนนั้นแนะนำตัวกับพี่ฉอดว่าเราชอบเต้นกินรำกิน พอได้ทำงานก็ภูมิใจ พอไปเล่นมิ้นต์กับมิว เราใหม่มาก เราเล่นใหญ่เต็มที่ คนก็เริ่มจำได้ แต่พอมาเล่นละครเรื่อง “เพื่อนรักเพื่อนร้าย” ในบทเอ็นจอย คนก็จำได้ พอได้งานรีบบอกพี่แท่งผ่านพ้น”

“พี่แท่งทำได้แล้ว พี่แท่งบอกเก่งมาก ตอนนั้นมันจะร้องไห้เลยนะ ทิ้งนั้นพี่แท่งก็สอนเรื่องการทำงานในวงการ เน้นมากเรื่องเวลา ห้ามดื่มเหล้า แตะเคารพผู้ใหญ่”

เด็กนอก…บนเวทีที่ไม่มีพี่เลี้ยง
จากเด็กนอกมาหาอยู่เมืองไทยแบบไร้ขาแนะนำ ระยะแรกเธอจึงต้องปรับตัวแจกเข้ากับผู้ร่วมงาน วิธีการทำงานแบบคนไทย วัฒนธรรมความเป็นคนไทย บางครั้งแม้จะเตรียมใจไว้แล้ว แต่กับบางเรื่องก็ไม่คิดว่างานเบื้องหน้าที่สวยหรูกลับมีเบื้องหลังยากลำบาก

“ทำใจไว้ส่วนหนึ่งตำหนิเรามาทำงาน พี่ๆ ทุกคนเป็นดาราดังกันหมด เราต้องอยู่ให้ได้ ประการเราไม่รู้มาก่อนว่าเวลาถ่ายละครต้องไปยืนกลางแดดร้อนๆ บางทีถ่ายดึก ไม่ได้นอน นอนกลางดินกินกลางทราย เมื่อก่อนเราไม่เคยรู้แต่ตอนนี้เรารู้แล้ว และมีความสุขมากกับการอยู่เบื้องหลัง ตอนนี้อยากเล่นได้หลายๆ อย่างไร เล่นเป็นผู้ชายก็อยาก”

“งานในวงการบันเทิงสอนยื่นให้เรามีความรับผิดชอบ ด้วยกันมันเป็นงานแดนทำให้คนมีความสุข เพราะว่าเราเคยอยู่ในจุดที่คนล้อเรา เราเกลียดเมืองไทย ไม่อยากมา แต่วันหนึ่งกลับพลิกจุดนั้น เรากลับเป็นคนที่ทำให้คนไทยมีความสุข ทำให้เรายิ่งมีความสุข งานในวงการบันเทิงเป็นงานเล็กๆ ที่ทำให้หลายคนมีความสุข เรารู้สึกว่าเราได้ปฏิบัติงานอะไรให้คนอื่นบ้าง รู้สึกตัวเองมีค่า”

สำคัญที่สุดคือรู้จักตัวเอง
แม้พื้นที่ผ่านมาปมเรื่องสีผิว รูปร่าง หน้าตา เนื้อความผิดเพศที่คนอื่นมอบให้จะฝังลึกเป็นปมในใจ แต่เมื่อเธอเลือกที่จะทำความรู้จักตัวเอง ยอมรับและแก้ปัญหานั้น ในวันนี้สิ่งที่มีค่าที่สุดคือการค้นพบตัวเองและภูมิใจอย่างที่ทางตัวเองสด

“แขอยากตัวเล็ก แขทำไม่ได้เพราะแขสูง แขไม่สามารถเหลากระดูกได้ แขอยากขาวแต่ขาวไม่ได้ ปฏิบัติงานได้แต่จะเป็นมะเร็ง เมื่อเป็นแบบนั้นเราจะอยู่อย่างไร เราก็อยู่แบบตัวใหญ่ๆ อยู่แบบตัวดำ อยู่ให้รู้ว่าฉันสูง ขายาว อย่าสละให้ฉันมีซิกแพคนะ หุ่นฉันจะสวยมาก มันคือการค้นหาตัวเอง เราไม่ได้หาจุดด้อยของตัวเอง เราหาจุดเด่นของตัวเองให้เจอ แขทำศัลยกรรมได้แต่ไม่ทำ เพราะแขมีความสุขกับตรงนี้มาก เมื่อเรายอมรับตัวเองปุ๊บ ใจดีฉันก็จะเปิด อีกอย่างแขอยากอำนวยเลิกฝังความคิดเรื่องความดูดีต้องขาว ต้องสูง ต้องผอม ตัวเล็ก เราควรภูมิใจในแบบที่เราเป็นเรา และการล้อคนอื่นภายในเรื่องเหล่านี้มันทำให้คนๆ นั้นมีปม ซึ่งไม่ใช่เรื่องดี”

การมองชีวิตให้เห็นด้านสุขไม่ง่ายถ้าข้าไม่เคยเห็นด้านตรงกันข้ามของมันมาก่อน รัศมีแขอยู่ด้วยกันปมเหยียดมาตั้งแต่เด็ก บางคนเลือกจมปลักติดทุกข์อยู่กับปมนั้น แต่เธอเลือกติดสุข ติดสนุก และเอ็นจอยกับมันแข็งมากกว่า จึงไม่รู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นเธอแล้วเราจะรู้สึกได้รับความสุข ความสนุกส่งผ่านหน้าจอ

ข้อมูลจาก http://women.sanook.com/48835/

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ข่าววันนี้

ชาวบ้านศรัทธา ครูบาออ เกจิดังอายุ 101 ปี นั่งสมาธิละสังขารอย่างสงบ

ชาวบ้านศรัทธา ครูบาออ เกจิดังอายุ 101 ปี นั่งสมาธิละสังขารอย่างสงบ

ชาวบ้านศรัทธา ครูบาออ เกจิดังอายุ 101 ปี นั่งสมาธิละสังขารอย่างสงบ

เช้ามืดวันนี้ ( 24 ต.ค.) หลวงปู่ครูบาออ ปัณฑิต๊ะ เกจิชื่อดังของภาคเหนือ เจ้าสำนักสงฆ์พระธาตุดอยจอมแวะ ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ได้นั่งสมาธิละสังขารด้วยอาการสงบ สิริอายุ 101 ปี

โดยคณะกรรมการวัดเล่าว่าหลังจากที่หลวงปู่ตื่นมาทำวัตรเช้าเรื่องเช้ามืดด้วยการ นั่งสมาธิ ปรากฏว่าหลวงปู่ได้ละสังขารในท่านั่งสมาธิในเวลา 04.05 น. หมายถึงที่อัศจรรย์ของบรรดาคณะกรรมการวัดและลูกศิษย์ หลังจากนั้นลูกศิษย์ได้นำร่างของหลวงปู่ไปยังโรงพยาบาลฝาง เพื่อหาสาเหตุของการมรณภาพ ก่อนจะนำกลับไปบำเพ็ญกุศลที่วัดเด่นชัย อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่

สำหรับหลวงปู่ครูบาออ ปัณฑิต๊ะ ถือเป็นครูบาเชื้อสายไทยใหญ่ที่ร่ำลือกันว่ามากด้วยวิชาขมังเวทย์ เป็นที่เคารพศรัทธาจากประชาชนชาวไทยใหญ่ในรัฐฉานเป็นอย่างมาก โดยเมื่ออายุ 20 ปี ขณะที่ครูบาออยังเป็นทหารไทยใหญ่ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ได้นำทหารเข้ารบชนะข้าศึก หลายครั้งโดยไม่เสียกำลังแม้แต่นายเดียว ทหารไทยใหญ่ที่เข้ารบกับพม่าทั้งกองร้อย ไม่เคยพ่ายแพ้ เพราะครูบาออ หรือ นายออ ในขณะนั้น ได้ทำน้ำมนต์และสักกระหม่อมให้เพื่อนทหารสู้กับศัตรู ปรากฏว่าปืนทหารพม่ายิงไม่ออกบ้าง ออกลูกแต่ไม่ถูกบ้าง ลูกระเบิดตกใกล้ๆ ไม่ระเบิดบ้าง แม้ตอนนี้เจ้ายอดศึก ผู้นำไทยใหญ่ ก็เคารพนับถือท่านอย่างที่สุด


หลวงปู่ครูบาออ เกิดวันอังคาร เดือนสิบสองไทยใหญ่ ตรงกับข้าวเดือนพฤศจิกายนของไทย เมื่อปี พ.ศ. 2461 ที่ทางหมู่บ้านน้ำหน่อ ตำบลปางซาง จังหวัดลายข่า ในเขตรัฐฉาน ประเทศเมียนมาร์

บิดาเป็นกำนันชื่อนายจั่นตา มารดาชื่อนางเห็งแปร มีพี่น้องร่วมกันทั้งหมด 10 คน หลวงปู่ครูบาออ เป็นคนที่ 10 ของครอบครัว ปัจจุบันพี่น้องได้เสียชีวิตไปหมดแล้ว คงเหลือแต่หลวงปู่ครูบาออท่านเดียว ท่านยังมีหลานๆ อยู่ข้างในตำบลเมืองนะหลายคนในปัจจุบัน ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรตั้งแต่อายุ 7 ขวบจนถึงอายุได้ 15 ปี เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2

ท่านได้ลาสิกขาไปเป็นทหารร่วมรบกับกองกำลังทหารไทยใหญ่ในฐานะผู้นำทัพ (เทียบเท่านายพลของไทย) พอปลดจากทหารแล้วท่านได้กลับมาอุปสมบทอีกงวดโดยมีเจ้าปิ่นยา สังฆราชของไทยใหญ่บวชให้เมื่อราวปีพุทธศักราช 2497

ครูบาออเคร่งครัดในวินัยการปฏิบัติของสงฆ์เป็นอย่างยิ่ง ใช้ชีวิตสันโดษสมถะ เรียบง่ายและมีความมานะอดทนสูงที่บนสำนักสงฆ์พระธาตุดอยจอมแวะไม่มีน้ำ ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีชาวบ้านสักหลังคาเรือน แต่ท่านอยู่ได้ ถือได้ว่าท่านเป็นพระเกจิสุปะฏิปันโณที่น่าศรัทธาเลื่อมใส สำหรับการมรณภาพของหลวงปู่ออ ด้วยอายุ 101 ปี ชาวบ้านพากันไปหาซื้อเลขเด็ดกันเกลี้ยงแผง

ข้อมูลจาก http://news.sanook.com/2089346/

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ข่าวด่วน

มองชีวิตให้มีแต่ความเอ็นจอย “รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น”

มองชีวิตให้มีแต่ความเอ็นจอย “รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น”

มองชีวิตให้มีแต่ความเอ็นจอย “รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น”

แขอยากให้เลิกฝังความคิดเรื่องความดูดีต้องขาว ต้องสูง ต้องผอม ตัวเล็ก เราควรภูมิใจในแบบที่เราเป็นเราโดย รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น

ฟังแค่ชื่อทีไร พลอยนึกว่าเธอคือหนึ่งในผู้เข้าประกวดนางงามทุกที แต่แท้ที่จริง “รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น” เป็นชื่อในวงการบันเทิงของพิธีกร ดาราผู้ชายนะคะผิวสีที่แม้จะเข้ามาชิมลางงานในแวดวงมายาได้ไม่นาน แต่กลับมีบุคลิก และผลงานเตะตา

เส้นทางก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงของเธอมาจากความฝันที่ตั้งไว้ และพุ่งเข้าชน (อย่างแรง) เพราะอยู่ดีๆ เธอก็พาร่างสูงใหญ่ ผิวสีสไตล์ลูกครึ่งไทย-อเมริกันเดินตรงไปที่ตึกแกรมมี่ เพื่อบอกว่า “พี่คะ หนูอยากเป็นดารา” อะไรผลักดันให้เธอช่างกล้าทั้งๆ ที่รู้ว่าบ้านเราต้องสวย ขาว หล่อ หุ่นดีเท่านั้นถึงจะเข้าเส้นชัย Sanook! Women อยากให้คุณรู้จักเธอไปพร้อมๆ กัน แล้วจะรู้ว่าชีวิตของรัศมีแขมีสีสันพอๆ กับรอยยิ้มของเธอ

จะ “แจ่ม” “เจมส์” หรือ “รัศมีแข” ก็โดนล้อว่า “ขวานฟ้าหน้าดำ”
ในระหว่างให้สัมภาษณ์รัศมีแขมักเรียกแทนตัวเองว่า “แข” ทั้งๆ ที่ชื่อจริงของเธอคือ “เจมส์ ฟอเกอร์ลุนด์” มีเชื้อสายลูกครึ่งไทย-อเมริกัน เกิดที่เมืองไทยและอยู่ที่นี่จนอายุ 10 ขวบก่อนจะตามไปอยู่กับคุณแม่ที่สวีเดนหลังคุณแม่แต่งงานใหม่

แม้จะเกิดที่ภูเก็ต แต่ชีวิตก็ย้ายไปอยู่จังหวัดนั้นจังหวัดนี้บ่อยครั้ง และเป็นเรื่องธรรมดาที่เธอยอมรับว่าลูกครึ่ง ผิวดำ และเพศทางใจไม่ตรงกับเพศทางกายแบบเธอ จะไปอยู่ที่ไหนก็ต้องโดนล้อ โดนแกล้ง

“แขมีพี่สาวคนละพ่อเป็นลูกครึ่งสวิสเซอร์แลนด์ ขาว สวย แต่แขเป็นลูกครึ่งอัฟโฟรอเมริกัน จะโดนเปรียบเทียบตลอด เมื่อก่อนก็งงว่าทำไมต้องมาว่าเราเป็นมูฮัมหมัด อาลี ให้ถอดเสื้อแล้วชกมวย เราอายนมเรามาก มีแต่คนบอกว่าเราเหมือน ไปไหนก็มีแต่คนเรียกขวานฟ้าหน้าดำ ข้าวนอกนา เราก็งงว่าคืออะไร แต่ไม่โกรธ”

ใช้ “จุดอ่อน” ผลักดันให้เกิด “จุดแข็ง”
เมื่อย้ายไปอยู่สวีเดนกับคุณแม่ การอยู่ร่วมกับชาวต่างชาติ ยิ่งทำให้รู้สึกกดดันเนื่องจากเด็กสวีเดนแท้ๆ ไม่ยอมรับชาวต่างชาติ และเธอยังมีปัญหาเรื่องภาษา ปีแรกของการเรียนเธอจึงดร็อปทุกวิชาเพื่อมุ่งมั่นเรียนภาษาสวีเดนให้แข็งแรง

“ภาษาเราสู้เขาไม่ได้ แทนที่เราจะเสียใจ เราก็โอเคและสู้ไปกับปัญหา แม้จะโดนล้อว่าเป็นตุ๊ด แต่ไม่โกรธ เพราะเรารู้ตัวดีอยู่แล้ว แต่พอภาษาเราไม่เก่ง เราเลยหันไปเอาดีเรื่องงานฝีมือ วาดรูป พละ แค่นี้ก็ทำให้เรากลายเป็นเด็กดังในโรงเรียน พอดังก็เริ่มได้รับการยอมรับ การล้อก็เริ่มหายไป ตอนนั้นคิดตลอดเวลาว่าเราต้องเป็นเด็กดี ต้องเป็นที่รักของอาจารย์ มันก็หนีไม่พ้นที่จะมีคนเกลียด”

เมื่อเข้าไฮสคูลเธอโดนล้อหนักขึ้นเรื่อยๆ แม้จักรับจ้างเป็นพนักงานร้านขายข้าวของชำหาเงินใช้เอง จนกระทั่งเก็บเงินซื้อกระเป๋าใบละ 7 หมื่นใช้ได้ ก็มิวายโดนเพื่อนแกล้งสารพัด รุนแรงตราบเท่าขนาดเผากระเป๋าในล็อกเกอร์ โชคยังดีที่วันนั้นเธอไม่ได้ใช้กระเป๋าใบแพง แต่ถ้าว่ามันก็สะท้อนว่าเธอไม่ได้รับการยอมสารภาพ

“เคยมีพวกแขกท้าเราไปตีหลังโรงเรียน เราเป็นคนไม่คิดอะไร เลยบอกได้ แต่บอกฉันไม่ไปไหน ถ้าจะตีก็ตีกันตรงนี้ ไอ้นั่นก็ไม่กล้า กลัวคนเห็น”

ตัวตนที่แท้จริงของฉันอยู่หนใด ?
เพราะเพศที่ไม่ได้คัดตั้งแต่แรกทำสละเธอมุ่งมั่นหาจุดยืนของตัวเอง หลังเรียนจบการโรงแรมเธอสมัครงานบริษัทเมคอัพสโตร์ และมีโอกาสบินมาทำงานแดนเมืองไทย แม้กระนั้นกลับพบว่าไม่ใช่สิ่งที่อยากทำ จนมีโอกาสพบกับคุณโอ ศิระ ที่ช่วยเตือนสติให้ค้นหาตัวเอง เมื่อกลับสวีเดนก็ไปสมัครเป็นตัวแทนขายตั๋วเครื่องบินท้ายที่สุดก็พบว่ายังไม่ใช่คงอยู่ได้ดี

ในช่วงเวลาที่ยังสับสน วอลเลย์บอลคือกีฬาที่เธอเลือกยังมีชีวิตอยู่เป้าหมายสั้นๆ รอการค้นพบตัวตนตำแหน่งแท้จริง
“ตอนนั้นอายุ 26 ทำงานเสิร์ฟอาหารที่ร้านอาหารไทยอาทิตย์ละ 1 วัน แขคงอยู่กับแฟน ไม่ได้คิดอะไรมาก ขอแค่ได้เล่นวอลเลย์บอลอาทิตย์ละ 1 วันกับแก๊งค์ตุ๊ด แก๊งค์เกย์ไทย เล่นเป็นบ้าเป็นบอ ไม่ทำอะไรเลย ตื่นเช้าส่งหลาน กลับมากินข้าว เดินไปสนามวอลเลย์บอล พอเล่นเสร็จแฟนก็มารับ วันอาทิตย์ตื่นเช้าไปทำงาน 9 โมงถึง 5 ทุ่ม ยังไม่ตายแบบนี้ตลอด”

ชีวิตเคว้งคว้างไร้จุดหมาย ตราบเท่าคิดว่าจะขอเล่นวอลเลย์บอลด้วยกันใช้ชีวิตแบบตรงนี้ไปจนถึงอายุ 30 แล้วค่อยหางานทำเป็นเรื่องเป็นราว

มีวันนี้เพราะพี่ (แท่ง) ให้
ความรักชอบการแสดง ในสวีเดนเธอจึงเป็นที่รู้จักและมักรับจ้างเป็นพิธีกรงานต่างๆ บ่อยครั้ง กระทั่งมีโอกาสเป็นไกด์นำเที่ยวให้แท่ง ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง และแท่งคือผู้ที่เห็นคาแรคเตอร์ของเธอก่อนเอ่ยปากชวนให้กลับมาอยู่เมืองไทย คำชักชวนนั้นกลายเป็นเชื้อไฟแห่งความฝันและความหวัง แม้ตอนนั้นสมัครแอร์โฮสเตสไว้ เธอกลับตัดสินใจหนีมาเมืองไทยเพื่อตามฝันการเป็น “ดารา”

“แขไปเลยค่ะ ประกวด KPN รอบสุดท้าย กระผมแค่คิดว่าเราต้องได้ออกทีวี เราก็เป็นตัวของตัวเองแบบนี้ มือสั่นด้วย สุดท้ายเข้ารอบ 30 คนสุดท้าย แต่ก็ได้แค่นั้น ชุดนั้นเราคิดว่าเราจะต้องทำอะไรสักอย่างให้พี่แท่งภูมิใจ”

ทิ้งนั้นเธอตัดสินใจเขียนเรซูเม่เดินเข้าจากไปที่ตึกแกรมมี่บอกเจตนารมณ์ว่าจ้างอยากเป็นดารา เจ้าหน้าที่แนะนำให้ขึ้นไปติดต่อส่วนที่เกี่ยวข้อง เป็นความบังเอิญที่เธอเจอกับพี่ฉอด สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา ซึ่งเห็นแววและมอบงานพิธีกรสน.ฮอลลีวูด รายการแรก ก่อนจะตามด้วยละคร Club Friday To be Continued ตอนความลับของมิ้นต์กับมิว ด้วยกันผลงานอื่นๆ

“ตอนนั้นแนะนำตัวกับพี่ฉอดว่าเราชอบเต้นกินรำกิน พอได้ทำงานก็ภูมิใจ พอไปเล่นมิ้นต์กับมิว เราใหม่มาก เราเล่นใหญ่เต็มที่ คนก็เริ่มจำได้ แต่พอมาเล่นละครเรื่อง “เพื่อนรักเพื่อนร้าย” ในบทเอ็นจอย คนก็จำได้ พอได้งานร่านบอกพี่แท่งล่วง”

“พี่แท่งทำได้แล้ว พี่แท่งบอกเก่งมาก ตอนนั้นมันจะร้องไห้เลยนะ ขนมจากนั้นพี่แท่งก็สอนเรื่องการทำงานในวงการ เน้นมากเรื่องเวลา ห้ามดื่มเหล้า จำเป็นเคารพผู้ใหญ่”

เด็กนอก…บนเวทีที่ไม่มีอยู่พี่เลี้ยง
จากเด็กนอกมาหาอยู่เมืองไทยแบบไร้สัตว์สองเท้าแนะนำ ระยะเวลาแรกเธอจึงต้องปรับตัวถวายเข้ากับผู้ร่วมงาน วิธีการทำงานแบบคนไทย วัฒนธรรมความเป็นคนไทย บางครั้งแม้จะเตรียมใจไว้แล้ว แต่กับบางเรื่องก็ไม่คิดว่างานเบื้องหน้าที่สวยหรูกลับมีเบื้องขนองยากลำบาก

“ทำใจไว้ส่วนหนึ่งตำหนิเรามาทำงาน พี่ๆ ทุกคนเป็นดาราดังกันหมด เราต้องอยู่ให้ได้ ดั่งเราไม่รู้มาก่อนว่าเวลาถ่ายละครต้องไปยืนกลางแดดร้อนๆ บางทีถ่ายดึก ไม่ได้นอน นอนกลางดินกินกลางทราย เมื่อก่อนเราไม่เคยรู้แต่ตอนนี้เรารู้แล้ว และมีความสุขมากกับการอยู่เบื้องหลัง ตอนนี้อยากเล่นได้หลายๆ ฝ่าย เล่นเป็นผู้ชายก็อยาก”

“งานในวงการบันเทิงสอนยื่นให้เรามีความรับผิดชอบ พร้อมทั้งมันเป็นงานแถวทำให้คนมีความสุข เนื่องจากเราเคยอยู่ในจุดที่คนล้อเรา เราเกลียดเมืองไทย ไม่อยากมา แต่วันหนึ่งกลับพลิกจุดนั้น เรากลับเป็นคนที่ทำให้คนไทยมีความสุข ทำให้เรายิ่งมีความสุข งานในวงการบันเทิงเป็นงานเล็กๆ ที่ทำให้หลายคนมีความสุข เรารู้สึกว่าเราได้ปฏิบัติงานอะไรให้คนอื่นบ้าง รู้สึกตัวเองมีค่า”

สำคัญที่สุดคือรู้จักตัวเอง
แม้ในที่ผ่านมาปมเรื่องสีผิว รูปร่าง หน้าตา กระแสความผิดเพศที่คนอื่นมอบให้จะฝังลึกเป็นปมในใจ แต่เมื่อเธอเลือกที่จะทำความรู้จักตัวเอง ยอมรับและแก้ปัญหานั้น ในวันนี้สิ่งที่มีค่าที่สุดคือการค้นพบตัวเองและภูมิใจอย่างแถวตัวเองมีชีวิต

“แขอยากตัวเล็ก แขทำไม่ได้เพราะแขสูง แขไม่สามารถเหลากระดูกได้ แขอยากขาวแต่ขาวไม่ได้ บำเพ็ญได้แต่จะเป็นมะเร็ง เมื่อเป็นแบบนั้นเราจะอยู่อย่างไร เราก็อยู่แบบตัวใหญ่ๆ อยู่แบบตัวดำ อยู่ให้รู้ว่าฉันสูง ขายาว อย่าอุปถัมภ์ฉันมีซิกแพคนะ หุ่นฉันจะสวยมาก มันคือการค้นหาตัวเอง เราไม่ได้หาจุดด้อยสิ่งตัวเอง เราหาจุดเด่นของตัวเองให้เจอ แขทำศัลยกรรมได้แต่ไม่ทำ เพราะแขมีความสุขกับตรงนี้มาก เมื่อเรายอมรับตัวเองปุ๊บ ใจฉันก็จะเปิด อีกอย่างแขอยากสละเลิกฝังความคิดเรื่องความดูดีต้องขาว ต้องสูง ต้องผอม ตัวเล็ก เราควรภูมิใจในแบบที่เราเป็นเรา และการล้อคนอื่นที่เรื่องเหล่านี้มันทำให้คนๆ นั้นมีปม ซึ่งไม่ใช่เรื่องดี”

การมองชีวิตให้เห็นด้านสุขไม่ง่ายถ้ากูไม่เคยเห็นด้านตรงกันข้ามของมันมาก่อน รัศมีแขอยู่เข้ากับปมเหยียดมาตั้งแต่เด็ก บางคนเลือกจมปลักติดทุกข์อยู่กับปมนั้น แต่เธอเลือกติดสุข ติดสนุก กับเอ็นจอยกับหัวมันมากกว่า จึงไม่รู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นเธอแล้วเราจะรู้สึกได้รับความสุข ความสนุกส่งผ่านหน้าจอ

ข้อมูลจาก http://women.sanook.com/48835/

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ข่าว